‘กรมรางฯ’ เฮ  146 เสียง วุฒิสภาเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.การขนส่งทางราง ปูทางระบบรางไทยสู่ยุคใหม่ เปิดทางเอกชนร่วมใช้โครงสร้างพื้นฐาน–ลดต้นทุนขนส่งทั่วประเทศ ช่วยกำหนดค่าโดยสารเป็นธรรม คาดประกาศใช้ปี 2569 ดันไทยสู่ศูนย์กลางคมนาคมภูมิภาค

17ต.ค.2568 – รายงานข่าวจากกรมการขนส่งทางราง(ขร.) แจ้งว่า เมื่อวันที่16 ตุลาคม 2568 ที่ประชุมวุฒิสภาได้พิจารณา ร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ. … ในวาระที่ 2 และ 3 ครอบคลุมตั้งแต่ชื่อร่างจนถึงมาตรา 158 โดยมีมติเห็นชอบอย่างท่วมท้น 146 เสียง จากผู้ลงมติทั้งหมด 150 เสียง โดยไม่มีผู้ไม่เห็นด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของประเทศไทยในการปฏิรูประบบขนส่งทางราง ให้มีมาตรฐานสากลและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ โดยร่างกฎหมายดังกล่าวอยู่ระหว่างขั้นตอนส่งศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบ จากนั้นนายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ก่อนประกาศใช้เป็นกฎหมายอย่างเป็นทางการ ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ได้ในปี 2569

สำหรับ พ.ร.บ.การขนส่งทางราง พ.ศ. …. ฉบับนี้ถือเป็น “กฎหมายแม่” ที่จะยกระดับการบริหารจัดการระบบรางของประเทศให้มีความเป็นเอกภาพ และเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพื่อให้สามารถให้บริการขนส่งทั้งผู้โดยสารและสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยการเปิดทางให้เอกชนร่วมใช้โครงสร้างพื้นฐานจะช่วยเพิ่มความถี่ของขบวนรถไฟ ลดต้นทุนขนส่ง และเพิ่มความคุ้มค่าในการใช้โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ นับเป็นการยกระดับระบบรางไทยให้เป็นระบบหลักของการขนส่งในประเทศอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ กฎหมายยังได้กำหนดให้มีการจัดตั้ง คณะกรรมการนโยบายการขนส่งทางราง เพื่อเป็นกลไกหลักในการวางยุทธศาสตร์และกำหนดทิศทางการพัฒนาระบบรางของประเทศอย่างชัดเจน ทั้งในด้านการเชื่อมต่อกับระบบขนส่งรูปแบบอื่น เช่น ถนน ทางอากาศ และทางน้ำ เพื่อให้การเดินทางของประชาชนเป็นไปอย่างไร้รอยต่อ อีกทั้งยังให้อำนาจคณะกรรมการฯ ในการกำหนด อัตราค่าโดยสารและค่าขนส่งขั้นสูงที่เป็นธรรม รวมถึงจัดตั้งระบบการจดทะเบียนรถขนส่งทางราง  การออกใบอนุญาตประกอบกิจการ และใบอนุญาตผู้ประจำหน้าที่ มีการกำหนดบทลงโทษที่เข้มงวด เพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยและมาตรฐานของระบบรางไทย

สำหรับ พ.ร.บ.การขนส่งทางราง พ.ศ. …. นี้ ถือเป็น “หมุดหมายสำคัญ” ที่จะผลักดันประเทศไทยเข้าสู่ยุคใหม่ของระบบราง สอดรับกับนโยบายพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในระยะยาว และเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างระบบการเดินทางที่ ปลอดภัย คุ้มค่า และเชื่อมต่อได้ทั่วประเทศ เมื่อกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ จะทำให้ “ระบบรางไทย” กลายเป็น เส้นเลือดใหญ่ของการคมนาคม ที่พร้อมเชื่อมโยงเศรษฐกิจทุกภูมิภาค และขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืนในทุกเส้นทาง.