“ประเทศไทยมีการลงทุนและใช้ปัญญาประดิษฐ์กว้างขวางมาก สูงโดดเด่นในอาเซียน แต่ใช้ประโยชน์เชิงลึก ต่อยอดทางเศรษฐกิจแทบไม่ได้เลยเป้าหมายการหลุดพ้นจากประเทศรายได้ปานกลางสู่รายได้สูง ที่ต้องมี GDP โต 5% ต่อปี จึงอาจเป็นไปได้ยาก”
เป็นคำกล่าวที่เจ็บปวด แต่สะท้อนภาพของ “ปัญหา” ในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตสูงอย่างที่คาดหวัง
ดร.เกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจากธนาคารโลก (World Bank) ได้สะท้อนมุมมองของปัญหา และโอกาส ในการพัฒนาดิจิทัลของไทยได้อย่างรอบด้าน ในงานสัมมนา “นโยบายและแนวโน้มเศรษฐกิจดิจิทัล ปี 2568 และ 2569” หัวข้อ “ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยด้วย Digital Economy” จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.)
ดร.เกียรติพงศ์เริ่มด้วยการอธิบายว่า ความท้าทายที่เร่งด่วนที่สุดของไทย คือ การหาหนทางผลักดันอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจให้หลุดพ้นจากระดับปัจจุบัน ประเมินว่าศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (Potential Growth) ในระยะปานกลางอยู่ที่ประมาณ 2.7% ต่อปี ขณะที่คาดการณ์ GDP ไทยปีนี้อยู่ที่ 2% เท่านั้น
ความหวังจึงตกมาที่การใช้ “เทคโนโลยีดิจิทัล” เป็นอีกเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งตามรายงาน Digital GDP ของ สดช.พบว่า ประมาณการเศรษฐกิจดิจิทัล ปี 2568 คาดว่าจะมีมูลค่า 5.3 ล้านล้านบาท เติบโต 5% จากปีก่อนหน้า คิดเป็นสัดส่วน 28.2% ของ GDP ประเทศที่ 18.9 ล้านล้านบาท
เห็นได้ว่า เศรษฐกิจดิจิทัลเพิ่มสัดส่วนใกล้เป้าหมาย 30% ของ GDP แล้ว และหากพิจารณาตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ประเทศไทยตั้งเป้าหมายที่จะก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางและเป็นประเทศรายได้สูง (Upper-Income Threshold) ภายในปี 2037 การจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้นั้น เศรษฐกิจจำเป็นต้องเติบโตในอัตราเฉลี่ยสูงถึง 5% ต่อปี อย่างต่อเนื่องซึ่งช่องว่างระหว่างศักยภาพที่ 2.7% กับเป้าหมายที่ 5% สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายมหาศาล
ดร.เกียรติพงศ์ย้ำว่า การจะขยับจาก 2.7% ไปสู่ 5% นั้น “ยากมาก” และยังชี้ให้เห็นว่า เป้าหมาย 5% ภายในปี 2037 นั้น อาจเป็นเป้าหมายที่ต้องกลับมาทบทวนว่ามีความเป็นจริงเพียงใด (Realistic) หากปราศจากการปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่ รวมถึงการลงทุนมหาศาลทั้งในโครงสร้างพื้นฐานและที่สำคัญที่สุด คือ ทุนมนุษย์ ท่ามกลางบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ภาคเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Sector) จึงกลายเป็นหนึ่งในความหวังสำคัญที่จะเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเติบโตครั้งใหม่นี้
เวิลด์แบงก์ ได้ใช้เกณฑ์วัดศักยภาพดิจิทัลจากเซ็กเตอร์ด้านโทรคมนาคมเป็นหลัก โดยแบ่งเป็น 3 ชั้น คือ ชั้นฐานราก เป็นโครงสร้างพื้นฐาน ชั้นที่สอง คือ การประยุกต์ใช้ในธุรกิจ (Digital Accelerator) เช่น การใช้ประโยชน์ด้านชำระเงิน เชื่อมโยงข้อมูล ในการพัฒนาเอไอ รวมถึงการตระหนักรู้ทางดิจิทัล ชั้นที่สาม คือ ขยายดิจิทัลไปสู่เซ็กเตอร์อื่น ๆ เช่น สุขภาพ อีคอมเมิร์ซ เพิ่มผลิตภาพให้ MSME
เป้าหมายวัดความสำเร็จของ 3 ระดับนี้คือ นำไปสู่การ “จ้างงาน” ที่มีมูลค่าสูงขึ้น
ทว่าเหมือนประเทศไทยติดหล่มในระดับที่สอง ที่ไม่สามารถเพิ่ม Value Added ให้โครงสร้างดิจิทัลได้
แต่ในแง่ของโครงสร้างพื้นฐานของไทย นับว่าโดดเด่น แข็งแกร่ง เหมือนบุญเก่าที่สะสมมาตลอดหลายทศวรรษ
“รากฐาน” ด้านดิจิทัลที่แข็งแกร่งและก้าวไปไกลกว่าหลายประเทศในภูมิภาค เช่น การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต : ประชากรไทยสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ในระดับสูงถึง 91% รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ อย่างระบบชำระเงินดิจิทัล (Digital Payments) โดยเฉพาะแพลตฟอร์ม “พร้อมเพย์” (PromptPay) ซึ่งธนาคารโลกยกย่องให้เป็น “Success Case”
แต่เมื่อพิจารณาในมิติของมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ภาคดิจิทัลของไทยกลับทำได้ไม่ดีนัก ตัวอย่างเช่น การลงทุนด้านเอไอ ซึ่งต้องสร้างบนโครงข่ายที่ดีที่เรามีอยู่แล้ว ซึ่งภาคธุรกิจไทยก็ลงทุนกับเอไอเยอะ โดย AI Adoption Rate คือผู้ใช้ Generative AI 6% ต่อประชากรที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ต 91% ซึ่งถือว่าใช้เยอะเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน
“การใช้งานเอไอของไทยเป็นเหมือน ‘แม่น้ำที่กว้างแต่ไม่ลึก’ คือมีการใช้งานที่แพร่หลายในระดับพื้นฐาน แต่ขาดการนำไปใช้ในเชิงลึกเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง”
ขณะที่สัดส่วนมูลค่าเพิ่มภาค ICT (ICT Sector Value Added) อยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาค เช่น ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย
และปัจจุบันมีคลื่นการลงทุนมหาศาลในเรื่องดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มมูลค่าให้กับภาคโทรคมนาคม หรือ ICT แต่คำถามคือ เทคโนโลยีเหล่านี้อาจไม่ได้นำไปสู่การจ้างงานโดยตรงมากนัก ถ้าเรายืนบนพื้นฐานที่ว่าการพัฒนาดิจิทัลมีเป้าหมายเพื่อ “สร้างงานที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น” ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องคิดว่า ทำอย่างไรให้มี “คน” และ “การลงทุน” ที่สามารถใช้ประโยชน์จากดาต้าซัพพลายเชนไปสู่การเพิ่มการเติบโตเศรษฐกิจให้ประเทศได้อย่างไร
ดังนั้นจะเห็นว่า ต่อให้มีการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ และเอไอมหาศาล แต่คำถามที่ตามมาคือ “ใช้อย่างไร” หรือ “ใครจะเป็นคนใช้”
แม้แต่การลงทุนจากต่างชาติที่จะมาลงทุนทางเทคโนโลยี เขาก็ต้องถามว่า คุณมี “สกิลเซต” คือปัญหาคอขวดอย่างแท้จริงในการเพิ่มมูลค่าให้เศรษฐกิจดิจิทัลไทย
“ทักษะของคน” โดยเฉพาะ Digital Skills ตามข้อมูลล่าสุดสะท้อนภาพที่น่าเป็นห่วง คือ ประชากรวัยผู้ใหญ่ที่มีทักษะดิจิทัลระดับกลาง (Intermediate Digital Skills) : เพียง 5% ประชากรวัยผู้ใหญ่ที่มีทักษะดิจิทัลระดับสูง (Advanced Digital Skills) เพียง 1%
ช่องว่างทางทักษะ (Skills Gap) ที่กว้างขนาดนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจและสังคมในหลายมิติ เพราะคนที่มีทักษะดิจิทัลจะมีรายได้สูงกว่าคนที่ไม่มีทักษะถึง 30% การขาดทักษะจึงเป็นการปิดกั้นโอกาสในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรจำนวนมาก
“ผลการศึกษาของธนาคารโลกชี้ชัดว่า การลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) จะให้ผลตอบแทนเป็นบวกก็ต่อเมื่อองค์กรมีแรงงานทักษะสูงรองรับ หากไม่มีทักษะ การลงทุนดังกล่าวอาจให้ผลตอบแทนติดลบ ผู้ที่ไม่มีทักษะดิจิทัลจะมีความเสี่ยงสูงที่จะต้องปรับตัวอย่างหนัก หรืออาจต้องย้ายออกจากสายงานเดิม”
เวิลด์แบงก์ ชี้ทางออกในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลระดับพื้นฐาน ระดับกลาง สู่ยูสเคสในระดับสูงที่ขยายไปบริการอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ 3 ด้าน ได้แก่
1.e-Commerce ผู้บริโภคชาวไทยมีความคุ้นเคยและมีความสามารถในการซื้อขายสินค้าออนไลน์ในระดับสูง ในฝั่งผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs และ MSME ยังคงตามหลังประเทศเพื่อนบ้านในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้อย่างเต็มศักยภาพ ตรงนี้สามารถเข้าไปพัฒนาส่งเสริมได้
2.Healthcare ศักยภาพ : สามารถต่อยอดจากความสำเร็จของระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า (30 บาท) โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อส่งเสริมบริการการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) และการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) ซึ่งเป็นตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตสูง แต่อุปสรรคสำคัญที่ต้องแก้ไข คือ การขาดความสามารถในการทำงานร่วมกันของข้อมูล (Interoperability) ทำให้การเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Health Records) ระหว่างโรงพยาบาลต่าง ๆ ยังทำได้ยาก
3.Secure & Innovative Finance (การเงินที่ปลอดภัยและทันสมัย) ซึ่งสามารถใช้ความสำเร็จของ “พร้อมเพย์” เป็นฐานในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านบริการทางการเงินดิจิทัลในระดับภูมิภาค นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสสำคัญที่ไทยจะสามารถนำเสนอความสำเร็จนี้ (Showcase) ในการประชุมใหญ่ประจำปีของธนาคารโลก และ IMF ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพในปี 2026
ความท้าทายหลัก คือ การสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยของระบบ (Security) ให้สูงขึ้น เพื่อรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
การจะทำให้ Use Cases เหล่านี้ประสบความสำเร็จได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะเรื่องทักษะและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ควบคู่กันไป
ทั้ง 3 ยูสเคสนี้เป็นสิ่งที่เราเห็นในเบื้องต้น ซึ่งล้อไปตามเทรนด์ของไทยและของโลก อย่างเช่น เรื่องอีคอมเมิร์ซ ก็เพราะประเทศไทยมีการใช้งานมากที่สุดและสามารถสร้างประโยชน์ได้ เรื่องบริการสุขภาพ ก็จะล้อไปกับสังคมผู้สูงอายุที่ไทยกำลังเผชิญ ซึ่งมีโอกาสต่อยอดเป็นบริการระดับสูง หรือเป็น Medical Tourism ได้
และสุดท้าย คือ ต้องเติมเต็มโครงสร้างดิจิทัลให้ครบ เร่งแก้ไขปัญหา “ช่องว่างทางทักษะดิจิทัล” รวมถึงสร้างความปลอดภัยและเชื่อมั่นทางไซเบอร์ และที่สำคัญ คือ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อความทั่วถึงเท่าเทียม โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแบบประจำที่ (Fixed Broadband) ซึ่งไทยยังมีสัดส่วนการเข้าถึงเพียง 18% พร้อมทั้งออกแบบบริการดิจิทัลภาครัฐให้กลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้มีรายได้น้อย หรือผู้อยู่ในพื้นที่ห่างไกล เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล
Contact to : xlf550402@gmail.com
Copyright © boyuanhulian 2020 - 2023. All Right Reserved.