“เอทิฮัด” มุ่งขยายเครือข่ายการบินสู่ภูมิภาคเซาท์อีสต์เอเชีย เชื่อมโยงตลาดนักท่องเที่ยวตะวันออกกลาง รุกเปิดบินตรงสู่เมืองรองของไทย 2 เส้นทาง จากอาบูดาบีสู่ “กระบี่-เชียงใหม่” ปลุกหมุดหมายใหม่ต่อจากกรุงเทพฯ-ภูเก็ต พร้อมตั้งเป้าปลายทางทั่วโลกครบ 125 แห่ง ภายในปี’73 ททท.คาดถึงสิ้นปีนี้ไทยมีนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางแตะ 8.5 แสนคน

นายแฟรงก์ เมเยอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายดิจิทัล สายการบินเอทิฮัด เปิดเผยว่า สายการบินเอทิฮัดมีความพยายามในการขยายเครือข่ายการบินสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเปิดประตูสู่ตลาดนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางอย่างเต็มที่ โดยในส่วนของประเทศไทยนั้น ได้เปิดให้บริการเส้นทางบินตรงระหว่างกระบี่-อาบูดาบี เมื่อ 9 ตุลาคม 2568 และล่าสุดได้เปิดเที่ยวบินปฐมฤกษ์เส้นทางอาบูดาบี-เชียงใหม่ โดยออกเดินทางจากอาบูดาบีเวลา 21.30 น. ของวันที่ 3 พฤศจิกายน ถึงเชียงใหม่เวลา 06.05 น. ของวันที่ 4 พฤศจิกายน 2568

บินตรง “กระบี่-เชียงใหม่”

นายแฟรงก์กล่าวว่า การเปิดเส้นทางบินตรงอาบูดาบีสู่กระบี่และเชียงใหม่ในครั้งนี้ สะท้อนถึงของความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับภาคการท่องเที่ยวไทยอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการขยายบริการและดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงจากตะวันออกกลางสู่ประเทศไทย รวมทั้งตอกย้ำบทบาทของกระบี่และเชียงใหม่ในฐานะเมืองท่องเที่ยวที่มีศักยภาพสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงยังเป็นศูนย์กลางแห่งธุรกิจการค้าในระดับภูมิภาค

นอกจากนี้ ยังถือเป็นความเคลื่อนไหวที่สำคัญต่อเชียงใหม่และเมืองท่องเที่ยวรองของไทย เพราะการมีเที่ยวบินตรงจากตะวันออกกลางช่วยลดความซับซ้อนของการเดินทาง เพิ่มความสะดวกสบายให้กับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางตรงถึงเมืองเชียงใหม่โดยไม่ต้องต่อเครื่องหลายต่อ นอกจากนี้ ยังสามารถกระจายนักท่องเที่ยวไปยังเมืองใกล้เคียง เช่น ลำพูน แม่ฮ่องสอน และเชียงราย ทำให้เกิดการหมุนเวียนเศรษฐกิจและรายได้ท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง

ครอบคลุม 125 แห่งในปี’73

นายแฟรงก์กล่าวว่า การเปิด 2 เส้นทางบินตรงใหม่ครั้งนี้ นับเป็นหมุดหมายที่ 3 และ 4 ในประเทศไทยต่อจากกรุงเทพฯ และภูเก็ต ซึ่งเป็นเสาหลักสำคัญของสายการบินในการมุ่งขยายจุดหมายปลายทางให้ครอบคลุมกว่า 125 แห่งทั่วโลก ภายในปี 2573

สำหรับเครื่องบินที่นำมาใช้สำหรับเส้นทางเชียงใหม่คือ Airbus A321LR และเป็นครั้งแรกที่สายการบินนำเครื่องลำตัวแคบมาให้บริการในลักษณะที่นั่งระดับพรีเมี่ยมแบบเครื่องลำตัวกว้าง โดยมีห้องโดยสาร 3 ระดับ ได้แก่ ชั้นเฟิรสต์คลาส ชั้นธุรกิจ และชั้นประหยัด

“เราตั้งเป้าที่จะสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับนักท่องเที่ยว และช่วยเสริมศักยภาพของเชียงใหม่และเมืองรองในภาคเหนือให้กลายเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก” นายแฟรงก์กล่าว

เพิ่มตลาดตะวันออกกลาง

ด้านนายชูวิทย์ ศิริเวชกุล รองผู้ว่าการด้านนโยบายและแผน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า การเพิ่มเที่ยวบินตรงจากอาบูดาบีจะช่วยรองรับความต้องการเดินทางที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงปลายปี และทำให้เชียงใหม่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวศักยภาพสูง และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวมากขึ้น ทั้งในด้านที่พัก โรงแรม ร้านอาหาร และกิจกรรมท่องเที่ยวต่าง ๆ

รวมถึงเป็นการเพิ่มทางเลือกการเดินทางให้แก่นักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลาง และโอกาสของการนำเสนอจุดหมายปลายทางใหม่ที่ตอบโจทย์การเดินทางของนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลาง แบบ Multi-Destination Trip เช่น กระบี่-กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ หรือเชียงใหม่-ภูเก็ต-ดูไบ ได้อย่างสะดวกและใช้เวลาน้อยลง อีกทั้งช่วยอำนวยความสะดวกและเพิ่มตัวเลือกทางด้านการบินให้กับนักท่องเที่ยวจากตลาดระยะไกล จากภูมิภาคยุโรปและอเมริกาสามารถเดินทางมาจุดหมายปลายทางภาคเหนือของประเทศไทยโดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวนี้

เปิดโอกาสธุรกิจท้องถิ่น

นอกจากนี้ ยังเป็นการยกระดับศักยภาพของสนามบินเชียงใหม่ให้เป็นจุดหมายปลายทางสำคัญในภูมิภาค และทำให้ผู้โดยสารสามารถต่อเที่ยวบินไปยังเมืองต่าง ๆ ในยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเชีย โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปกรุงเทพฯ ซึ่งการพัฒนานี้จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของเชียงใหม่ในฐานะเมืองท่องเที่ยวระดับสากล และส่งเสริมให้เมืองรองในภาคเหนือของไทยสามารถรองรับนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงอย่างยั่งยืน

“ไม่เพียงเท่านี้ ยังสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นและธุรกิจท่องเที่ยวในเชียงใหม่ขยายตลาดไปสู่กลุ่มนักท่องเที่ยวรายได้สูง ซึ่งการดึงนักท่องเที่ยวที่ใช้จ่ายสูงไม่เพียงสร้างรายได้โดยตรงจากบริการโรงแรมและร้านอาหารเท่านั้น แต่ยังกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและบริการเสริมอื่น ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างยั่งยืน” นายชูวิทย์กล่าว และว่า

สำหรับปีนี้พบว่า ตั้งแต่ 1 มกราคม-31 ตุลาคม 2568 ตลาดนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางมีจำนวนผู้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวไทยกว่า 679,924 คน โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มีระยะพำนักเฉลี่ย 10 วัน และมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปประมาณ 100,000 บาท และคาดว่าในสิ้นปี 2568 จะมีจำนวนผู้เดินทางจากตะวันออกกลางราว 850,000 คน