‘อีอีซี’ เผยปมรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินสะดุด วิกฤตต้นทุนพุ่ง-รายได้หด ลุยปรับสัญญา ให้โครงการเดินหน้าต่อ จ่อชงครม.เคาะเงื่อนไขสร้างไปจ่ายไป





21 พ.ย. 2568 – นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เปิดเผยถึงเบื้องหลังและเหตุผลความจำเป็นในการแก้ไขสัญญา โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งเป็นประเด็นที่อยู่ระหว่างการพิจารณา โดยยืนยันว่าการดำเนินการครั้งนี้ ไม่ได้มีเจตนาเพื่อช่วยเหลือเอกชน แต่เป็นการแก้ปัญหาเพื่อให้โครงการขนาดใหญ่ของประเทศสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ​โดยสาเหตุหลักที่ทำให้โครงการรถไฟความเร็วสูงไม่สามารถเดินหน้าต่อได้หลักคือไม่สามารถกู้เงินจากสถาบันการเงินได้





ทั้งนี้ มาจากต้นทุนโครงการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่รายได้ลดลง เมื่อเทียบกับแผนเดิมที่ศึกษาไว้ตั้งแต่ปี 2560 โดย​ดอกเบี้ยและต้นทุนสูงขึ้น ตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยได้ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ ต้นทุนของผู้ดำเนินทำโครงการสูงขึ้น ค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้นประมาณ 5% ​ค่าใช้จ่ายในการเดินรถ (Operation and Maintenance) หรือ O&M เพิ่มขึ้นถึง 10% รวมถึง​รายได้จากค่าโดยสารลดลง รวมถึงหลังจากสถานการณ์โควิด-19 รูปแบบการเดินทางของประชาชนไม่เหมือนเดิม ส่งผลกระทบต่อรายได้หลักของโครงการที่มาจากค่าโดยสาร ​ขณะที่อัตราผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นที่คาดว่าจะได้รับ ลดลงจากประมาณ 5.5% เหลือเพียง 1.1% ซึ่งต่ำมากจนทำให้นักลงทุนพิจารณาแล้วเห็นว่าการนำเงินไปลงทุนในทางอื่นจะดีกว่า





“โครงการในลักษณะนี้ ไม่มีแบงค์ไหนสามารถให้กู้ได้ เพราะต้นทุนที่สูงขึ้นและความเสี่ยงด้านรายได้ ทำให้ธนาคารขนาดใหญ่อย่าง China Development Bank(CDB) หรือ Japan Bank for International Cooperation (JBIC) รวมถึงสถาบันการเงินอื่นไม่สามารถปล่อยกู้ให้ได้ ขณะเดียวกันสถานการณ์โควิดก็ส่งผลกระทบด้านระยะเวลาและการส่งมอบพื้นที่ให้ล่าช้าไม่สามารถเริ่มต้นก่อสร้างได้อย่างราบรื่น ด้วยเหตุนี้หากเอกชนรายปัจจุบันไม่ดำเนินการต่อและนำโครงการไปปล่อยในตลาด ก็อาจจะไม่มีใครเข้ามาทำอยู่ดี เนื่องจาก ค่าก่อสร้างและค่าใช้จ่ายในการเดินรถไม่มีแนวโน้มที่จะลดลง และการเริ่มโครงการใหม่จากศูนย์อาจนำมาซึ่งการสูญเสียเวลาและผลประโยชน์มากกว่าเดิม”นายจุฬา กล่าว






นายจุฬา กล่าวว่า แนวทางแก้ไขสัญญาต้องใช้วิธีขยับการจ่ายเงินเพื่อลดความเสี่ยง​เพื่อช่วยให้โครงการเดินหน้าต่อได้ โดยที่ยังคงความเป็นโครงการที่เอกชนยังคงรับความเสี่ยงในการเดินรถและขาดทุน หากไม่มีผู้โดยสาร (PPP Net Cost) แต่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และ อีอีซีได้เสนอแนวทางการแก้ไขเนื้อหาในสัญญาฉบับใหม่ โดยหลักการสำคัญ คือ​เร่งรัดการจ่ายเงินที่รัฐจะต้องจ่ายให้เอกชน จากเดิมปีที่ 6 มาเป็นปีที่ 2-3 ของการเดินรถ เพื่อให้เอกชนได้รับกระแสเงินสดเร็วขึ้น และ ลดความเสี่ยงจากการไม่ได้รับเงินในช่วงต้นโครงการ ซึ่งจะช่วยให้เอกชนสามารถขอเงินกู้จากสถาบันการเงินได้ง่ายขึ้น และการขยับการจ่ายเงินเร็วขึ้นนี้ จะช่วยลดภาระดอกเบี้ยของรัฐ ทำให้ เม็ดเงินที่รัฐจะต้องจ่ายทั้งหมดลดลงประมาณ 20,000 ล้านบาท จากเดิมที่ต้องจ่ายรวม 40,000 กว่าล้านบาท





แม้ว่าหลักการปรับการจ่ายเงินจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของโครงการและลดภาระดอกเบี้ยของรัฐบาลในภาพรวม แต่การขยับวาระการจ่ายเงินถือเป็น ภาระผูกพันทางการคลัง ที่มีผลกระทบต่อ งบประมาณแผ่นดิน และจาก​คำแนะนำของอัยการได้เสนอข้อสังเกตและมีประเด็นให้แก้ไขสัญญา 6 ข้อ โดยมีประเด็นสำคัญคือการขยับการจ่ายเงินจะต้องดำเนินการตามกฎหมายวินัยการเงินการคลังของประเทศ ดังนั้นการแก้ไขสัญญาจึงต้องนำเข้าคณะรัฐมนตรี(ครม.)ก่อน เพื่อขออนุมัติการจ่ายเงินในส่วนนี้และกำหนด ภาระผูกพันของเงินที่ต้องจ่าย ให้ถูกต้องตามกฎหมายวินัยการเงินการคลัง





“นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ต้องเคลียร์กับอัยการเพิ่มเติมเรื่องเงินประกัน 120,000 ล้านบาท ที่จะให้ครอบคลุมเฉพาะความเสียหายของงานโยธาหรือความผิดสัญญาในกรณีอื่น ๆ ด้วย ​การนำเสนอหลักการให้ ครม. ในรอบนี้จึงเป็นการขอไฟเขียว ให้รัฐบาลเห็นชอบกับการเปลี่ยนวิธีการจ่ายเงิน เพื่อให้สามารถเดินหน้าการลงนามแก้ไขสัญญาได้ต่อไป”นายจุฬา กล่าว

Contact to : xlf550402@gmail.com


Privacy Agreement

Copyright © boyuanhulian 2020 - 2023. All Right Reserved.