เป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า ในที่สุดแล้วการขอแก้ไขสัญญา “ดิวตี้ฟรี” ใน 5 สนามบินหลักระหว่างบริษัทท่าอากาศยานไทย หรือ AOT กับ “คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี” หรือ KPD จะมีข้อยุติที่ทำให้ธุรกิจสามารถเดินต่อไปได้ทั้ง 2 ฝ่าย
และไม่เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ
แหล่งข่าวในวงการค้าปลีกรายหนึ่ง ให้ข้อมูลกับ “ประชาชาติธุรกิจ” เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา ที่เกิดประเด็นคิง เพาเวอร์ ขอยกเลิกสัญญาดิวตี้ฟรี ทั้งที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และสนามบินในภูมิภาค ในความดูแลอีก 3 แห่งว่า ไม่ใช่แค่เป็น “คิง เพาเวอร์” เป็นบริษัทไหนก็ต้องขอเจรจาต่อรอง
เพราะประเด็นที่เกิดขึ้นนี้ฝ่ายรัฐเป็นผู้ละเมิดสัญญา ทำให้เอกชนผู้รับสัมปทานได้รับความเสียหายก่อน ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่สั่งยุติการดำเนินการร้านค้าดิวตี้ฟรีขาเข้า การลดภาษีสินค้าไวน์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขายของดิวตี้ฟรี รวมถึงการขอคืนพื้นที่บางส่วน
นี่ยังไม่รวมปรากฏการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่อยู่เหนือการควบคุมของทุกฝ่าย และสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ รวมทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งทุกปัจจัยล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อจำนวนผู้โดยสารที่เดินทางผ่านสนามบินทั้งสิ้น
โดยตามที่ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) หรือ AOT แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา ระบุว่า ที่ประชุมบอร์ดเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 มีมติเห็นชอบให้ AOT แก้ไขสัญญาประกอบกิจการทั้ง 5 แห่ง ตามที่บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ร้องขอมา
ในส่วนของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ AOT เรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อหัว (MG) ตามหลักการเรียกเก็บตามจำนวนผู้โดยสารเช่นเดิม โดยเรียกเก็บเป็นรายปี (เทียบเท่า 232.90 บาทต่อคน) และมีการเติบโตในอัตราร้อยละ 5 ทุกปี
และได้ส่วนแบ่งรายได้ (Revenue Sharing) ส่วนเพิ่มอีกร้อยละ 35 ของมูลค่าซื้อต่อผู้โดยสาร (Spending per Head) ส่วนเกิน มากกว่าสัญญาเดิมที่เรียกเก็บส่วนแบ่งรายได้เพียงร้อยละ 20 ตลอดอายุสัญญา และขยายระยะเวลาของสัญญาออกไปอีก 2 ปี
ส่วนท่าอากาศยานดอนเมือง AOT เรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อตารางเมตร (โดยคิดเป็น 39,187.76 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน) และเรียกเก็บส่วนแบ่งรายได้ (Revenue Sharing) ที่ร้อยละ 20 ตามสัญญาเดิม และหากอัตราการฟื้นตัวของจำนวนผู้โดยสารกลับมาเกินร้อยละ 100 จะกลับไปใช้อัตราค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อตารางเมตรตามที่เคยตกลงไว้ก่อนหน้า
และพิจารณาขยายระยะเวลาของสัญญา 5 ปี โดยอิงกับแผนพัฒนาสนามบิน โดยผู้ประกอบการปัจจุบันมีความจำเป็นต้องย้ายไปให้บริการ ณ อาคารผู้โดยสาร 3 และรื้อถอนการลงทุนในอาคารผู้โดยสารเดิมออก
สำหรับท่าอากาศยานในภูมิภาค 3 แห่งคือ ภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่ (สงขลา) AOT เรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ (MG) ตามหลักการเรียกเก็บตามจำนวนผู้โดยสารเช่นเดิม โดยเรียกเก็บเป็นรายปี (เทียบเท่า 129.67 บาทต่อคน) และมีการเติบโตในอัตราร้อยละ 5 ทุกปี ตั้งแต่ปี 2573
และได้ส่วนแบ่งรายได้ (Revenue Sharing) ส่วนเพิ่มอีกร้อยละ 35 ของมูลค่าซื้อต่อผู้โดยสาร (Spending per Head) ส่วนเกิน เมื่อบรรลุเงื่อนไขตามที่กำหนดไว้เช่นเดียวกับสุวรรณภูมิ จากสัญญาเดิมที่เรียกเก็บส่วนแบ่งรายได้เพียงร้อยละ 20 ตลอดอายุสัญญา
“ปวีณา จริยฐิติพงศ์” ผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ท่าอากาศยานไทย หรือ AOT บอกว่า แนวทางการพิจารณาและเจรจาครั้งนี้ AOT ยึดหลักแนวทางเรื่องการจ่ายค่าผลประโยชน์ตอบแทนที่ “เป็นธรรม” กับทั้ง 2 ฝ่าย และเป็น “ผลบวก” กับ AOT รวมทั้งต้องมีรายได้ไม่ต่ำกว่าผู้ประกอบการรายที่ 2 ที่เสนอเข้ามาแข่งตอนประมูลปี 2562 (กิจการร่วมค้าการบินกรุงเทพ ล็อตเต้ ดิวตี้ฟรี)
และเปิดเผยภายหลังที่ AOT แจ้ง ตลท. ถึงผลการเจรจาและได้ให้ข้อมูลกับกองทุนต่าง ๆ ว่า บรรดาฟันด์แมเนเจอร์ต่างมองเชิงบวก เพราะมองว่าเป็นบวกต่อ AOT
สอดรับกับรายงานของบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) ที่ระบุว่า ข้อสรุปของการแก้ไขสัญญาครั้งนี้ ดีกว่าเงื่อนไขเดิม ในเบื้องต้นจึงคาดว่าประมาณการกำไรจะมี Upside อยู่ราว 17%
ขณะที่แหล่งข่าวในธุรกิจการเงินให้ข้อมูลว่า การแก้ไขสัญญาดิวตี้ฟรีครั้งนี้ AOT ได้ปรับลดค่าสัมปทานให้กับ “คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี” จาก 376 บาทต่อหัว เหลือ 323 บาทต่อหัว ลดลง 144 บาทต่อหัว หรือราว 38% คือปรับลดแต่ก็มีข้อดีเพิ่มเติมมาคือ ให้บวกเพิ่มปีละ 5%
“อัตรานี้ถือว่ายังได้ผลประโยชน์ตอบแทนที่อยู่ในกรอบที่ดี เพราะหากคำนวณผลตอบแทนกรณีสนามบินสุวรรณภูมิ ถ้าลดไปอยู่ในระดับที่ผู้ประมูลอันดับ 2 เสนอผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำกว่าที่ปีละ 8,516 ล้านบาท จะเท่ากับปรับลดลงไปถึง 45%”
“นิตินัย ศิริสมรรถการ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท คิง เพาเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้บริหารร้านค้าปลอดภาษี (Duty Free) ภายใต้ชื่อ KING POWER บอกกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เงื่อนไขและแนวทางปฏิบัติหลังจากนี้ ทางคิง เพาเวอร์ รอหนังสือแจ้งจากทาง AOT อย่างเป็นทางการ เพื่อจะดำเนินการในขั้นตอนต่าง ๆ ต่อไป
โดยเบื้องต้นพบว่า เงื่อนไขที่ทาง AOT รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ฯนั้น แม้จะไม่ได้เป็นไปตามที่ทางคิง เพาเวอร์ ขอไปทั้งหมด แต่ก็ถือว่าอยู่ในกรอบของการเจรจา ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่บริษัทสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ โดยมีแผนปรับโครงสร้างธุรกิจ หรือ Business Transformation ควบคู่กันไปด้วย

สอดรับกับข้อมูลที่ “นิตินัย” ให้สัมภาษณ์กับ “ประชาชาติธุรกิจ” ไว้ก่อนหน้านี้ว่า ข้อสรุปของ AOT สำหรับ 5 สนามบินหลัก จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของ “คิง เพาเวอร์” และทำให้สามารถรับรู้ต้นทุนการดำเนินงานได้ และตัดสินใจได้ว่าจะขับเคลื่อนธุรกิจข้างหน้าไปในทิศทางไหน
โดยได้ประเมินว่า ธุรกิจไหนที่เราต้อง Reset หรือธุรกิจไหนที่ต้อง Resume พร้อมวางแผนปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจใหม่ ธุรกิจไหนที่ Disruption ต้องรีเซต และ Reject ตัวเองออกมา แล้วเปลี่ยนโมเดลการดำเนินธุรกิจใหม่ ส่วนธุรกิจไหนที่คิดว่ายังสามารถ Resume ได้ก็จะดำเนินการต่อไป
พร้อมยกตัวอย่างกรณีการปิดดาวน์ทาวน์ดิวตี้ฟรี 3 แห่งคือ คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ศรีวารี, คิง เพาเวอร์ มหานคร และคิง เพาเวอร์ พัทยา เมื่อเดือนกันยายน 2568 นับเป็นการ “รีเซตธุรกิจ” เพระรูปแบบธุรกิจในปัจจุบันเปลี่ยนไปจากอดีตมาก นักท่องเที่ยวไม่นิยมเดินทางเป็นกรุ๊ปใหญ่ ทำให้ “ดีมานด์” ไม่มี
ขณะที่สาขาที่ตั้งอยู่ดาวน์ทาวน์ที่เหลืออีก 3 แห่งคือ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ, คิง เพาเวอร์ ซิตี้ บูทีค (One Bangkok) และคิง เพาเวอร์ ภูเก็ตนั้น วันนี้ธุรกิจยังสามารถบริหารจัดการต่อได้
และบอกด้วยว่า โมเดลธุรกิจของกลุ่ม “คิง เพาเวอร์” ในอนาคตจะค่อย ๆ Diversify และขยับเข้าสู่ New Era เพิ่มธุรกิจให้มีความหลากหลาย และเป็นธุรกิจที่เป็น Captive Market เพื่อสร้าง Captive Demand รูปแบบใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยง ไม่ใช่แค่ธุรกิจ “ดิวตี้ฟรี” 100% เหมือนเดิม
แต่ “ดิวตี้ฟรี” จะยังคงเป็นจุดแข็งหลักของกลุ่มคิง เพาเวอร์ ต่อไป ส่วนจะคงไว้ในสัดส่วน 50-60% หรือ 40% นั้นขึ้นอยู่กับดีมานด์ตลาด
พร้อมย้ำว่า Next Step หรือในอีก 2 ปีข้างหน้า ธุรกิจของ “คิง เพาเวอร์” จะไม่ได้แค่ “ดิวตี้ฟรี” อีกต่อไป
Contact to : xlf550402@gmail.com
Copyright © boyuanhulian 2020 - 2023. All Right Reserved.