สถาบันบิ๊กดาต้า เผยวิสัยทัศน์ข้อมูลและ AI ของประเทศ เตรียมปล่อยโมเดลเอไอ ThaiLLM ให้เข้าถึงและพัฒนาต่อได้ ม.ค. 2569 นี้ เน้นย้ำความแม่นยำบริบทไทย ทำให้นักพัฒนาคุมต้นทุนราคาได้ และส่งเสริมอธิปไตยในการใช้งานเอไอของชาติ

ศ.ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ เปิดเผยว่า โครงการ ThaiLLM ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานปัญญาประดิษฐ์ภาษาไทยแบบ Open Source/Open License ซึ่งเป็นการทุ่มสรรพกำลังของภาครัฐ สมาคมเอกชน และส่วนต่าง ๆ เพื่อพัฒนาโมเดลพื้นฐาน Foundation ให้เป็นโครงสร้างหลักของประเทศ มีความโดดเด่นจากการรวบรวมข้อมูลเอกสารจากหอจดหมายเหตุ และอื่น ๆ ที่เป็นภาษาไทยจำนวนมหาศาล ทำให้เข้าใจบริบทเฉพาะของไทยอย่างลึกซึ่งกว่าโมเดลฟาวน์เดชั่นที่เปิดใช้กันในตอนนี้อย่าง GPT Gemini และอื่น ๆ

“แม้ว่าที่ผ่านมา ภาคเอกชนไทยเองก็มีการพัฒนาโมเดลภาษาไทยเอง แต่เป็นการใช้งานบนโอเพ่นซอร์ซของโมเดลอื่น อย่างบน GPT หรือ Gemini ซึ่งในภายภาคหน้าอาจจะมีปัญหาเรื่องราคา ที่เจ้าของโมเดลอาจขึ้นราคา หรือจะมีปัญหาเรื่องอธิปไตยในการใช้งานเอไอ”

ดังนั้นการที่เรามีโมเดล ThaiLLM โดยเป็นโอเพ่นซอร์ซของเราเอง เป็นโครงสร้างพื้นฐานของเราเอง จะทำให้เกิดประโยชน์ที่เห็นชัด 2 อย่าง ประการแรก เรื่องราคา นี่เป็นโมเดลสาธารณะราคาย่อมถูก เพราะเป็นของรัฐและมีการช่วยเหลือด้านการประมวลผลจากหลายส่วน ทั้งคลาวด์กลางจาก NT ทั้งคลาวด์ไฮเปอร์สเกลของค่ายสหรัฐและจีน ที่ทาง สดช. ได้ซื้อเหมาไว้ให้ รวมถึงมีเอกชนอย่าง Siam AI ช่วยบริจาคกำลังการประมวลผลสำหรับเทรนเอไอโดยเฉพาะมาช่วย

ดังนั้นการมาพัฒนาเอไอบนโครงสร้าง ThaiLLM จึงมีโครงสร้างราคาที่พร้อมซัพพอร์ตรัฐและเอกชน เรียกว่าแทบใช้ฟรี ไม่ต้องกังวลเรื่องการปรับขึ้นราคาภายหลัง

ประการที่สอง เป็นโมเดลสาธารณะของคนไทยเอง ทำให้ไม่มีปัฐญหาเรื่องอธิปไตยในการใช้งานในภายหน้า

“โมเดลภาษาขนาดใหญ่ ThaiLLM นี้ เป็นการลงทุนจากภาครัฐเพื่อประโยชน์สาธารณะ เหมือการทำเน็ตประชารัฐ ที่เป้าหมายไม่ใช่เพื่อให้คนไทยที่ห่างไกลเข้าถึงอินเทอร์เน็ต แต่เป็นการลงทุนโครงสร้างเพื่อลากสายไฟเบอร์ไปจ่อหน้าบ้าน ทำให้เอกชนไม่ต้องลงทุนเยอะ มาพัฒนาต่อจากตรงนั้นได้เลย”

ตอนนี้ก็มีโมเดลภาษาไทยอย่างแบงก์ยักษ์อย่าง “ไต้ฝุ่น” ของ SCB และ “ทะเล” ของ KBank ที่เริ่มเจรจาในระดับวิศวกรกับเราเพื่อเข้ามาร่วมพัฒนาและทำการปรับแต่งร่วมกัน เพื่อให้กลายเป็นโครงสร้างที่พร้อมรองรับอนาคต

โดยล่าสุดได้เผยแพร่โมเดลพื้นฐานขนาด 8B พารามิเตอร์ และโมเดลขนาด 30B พารามิเตอร์ ที่อัพโหลดเพิ่มเติมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนโมเดลขนาดใหญ่ที่สุดจะเปิดให้สาธารณะเข้าถึงภายในเดือนมกราคม 2569 โมเดลเหล่านี้ได้รับการฝึกด้วยข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่ร่วมสนับสนุนการพัฒนา นับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับระบบนิเวศ AI ภาษาไทย ให้สามารถนำไปต่อยอดใช้งานในหลากหลายสาขา ขณะนี้มีหลายทีมเริ่มทดลองใช้งาน และคาดว่าจะเห็นผลลัพธ์รูปธรรมในเร็ว ๆ นี้

โดยจุดเริ่มต้นแรกของพัฒนาที่สำคัญ คือ โมเดลเฉพาะทางด้านการแพทย์สำหรับงานคัดกรองอาการ (Medical Screening) ซึ่งจะเปิดตัวในช่วงต้นปี 2569 พัฒนาโดยทีม ThaiLLM ร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลและโรงพยาบาลภาครัฐ โมเดลดังกล่าวถูกออกแบบเพื่อประเมินคัดกรองเบื้องต้น ให้คำแนะนำการดูแลตนเอง และแนะนำการพบแพทย์อย่างเหมาะสม โดยยืนยันว่าไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการวินิจฉัยโรค

ทั้งนี้ Chatbot รุ่นต้นแบบที่ใช้โมเดลนี้คาดว่าจะเปิดให้ประชาชนทดลองใช้ระหว่างเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม 2569 ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงแหล่งคัดกรองด้วยข้อมูลสุขภาพที่เชื่อถือได้ และแบ่งเบาภาระบุคลากรทางการแพทย์ในขั้นต้น

ขึ้นระบบแพลตฟอร์มข้อมูลแห่งชาติ D2

นอกจากนี้ ตามแผนงานปี 2569 BDI ได้ออกแบบและพัฒนาแพลตฟอร์มการเชื่อมโยงและวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (ดีทู) หรือ Data Integration and Intelligence Platform (D2) ซึ่งเป็นพื้นที่กลางสำหรับการเชื่อมโยงและแบ่งปันข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และพันธมิตร โดยข้อมูลที่เชื่อมโยงสามารถนำไปใช้ประโยชน์จริง ทั้งในการพัฒนานโยบายแบบมุ่งเป้า การบริหารจัดการ และการขับเคลื่อนนวัตกรรมด้วยข้อมูลและ AI อันเป็นหัวใจของเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่

แพลตฟอร์มนี้ยังสนับสนุนให้เกิดการใช้ข้อมูลร่วมกันอย่างเป็นระบบมีมาตรฐาน พร้อมยกระดับความสามารถด้านการวิเคราะห์และการตัดสินใจของภาครัฐ โดยมีแผนดำเนินงานตามลำดับ ได้แก่ การออกแบบมาตรฐานการเชื่อมโยงข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานในปี 2568 การเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2569 และการต่อขยายบริการด้านปัญญาประดิษฐ์ในปี 2570

ส่วนด้านการเสริมขีดความสามารถของประเทศในการรับมือกับสถานการณ์วิกฤต BDI ชูแนวคิด “Digital Wall of Resilience” ในการพัฒนากรอบสถาปัตยกรรมข้อมูลและระบบบูรณาการข้อมูลระดับชาติ เพื่อสนับสนุนการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ การเตรียมพร้อมรับมือ และการบริหารจัดการภาวะวิกฤตภายใต้หลักธรรมาภิบาลข้อมูลที่เคร่งครัด ทั้งด้านความมั่นคงปลอดภัยและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ถือเป็นการเร่งสร้างภูมิคุ้มกันให้ประเทศสามารถเผชิญภัยคุกคามข้ามพรมแดนในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นภัยความมั่นคง ภัยธรรมชาติ ภัยเศรษฐกิจ หรือสงครามการค้า โดยใช้องค์ความรู้ด้านข้อมูลเป็นฐานสำคัญในการคาดการณ์ ติดตาม และตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างแม่นยำและทันท่วงที

แนวทางนี้สะท้อนผ่านผลงานเชิงประจักษ์ในช่วงอุทกภัยที่ผ่านมา โดย BDI ได้บูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลการแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือจากแพลตฟอร์มภาคประชาชน 13 แหล่ง เพื่อลดความซ้ำซ้อน ตรวจสอบสถานะการปิดเคส และส่งข้อมูลให้หน่วยงานภาคีได้ทันที ทำให้ทุกหน่วยงานเห็นภาพรวมเดียวกันแบบ Real-Time และสามารถจัดการสถานการณ์ได้อย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ BDI ยังร่วมมือกับสำนักงานสถิติแห่งชาติและมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในการเชื่อมโยงข้อมูลผู้อพยพในศูนย์พักพิง เพื่อให้การช่วยเหลือมีความแม่นยำและเป็นระบบมากยิ่งขึ้น

รวมถึงอยู่ระหว่างพัฒนาระบบตรวจสอบสถานที่จัดเก็บรถที่ถูกเคลื่อนย้ายจากพื้นที่น้ำท่วมร่วมกับกรมการขนส่งทางบก สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเครือข่ายอาสาสมัคร เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบสถานะรถได้อย่างถูกต้องและเป็นปัจจุบัน ช่วยให้กระบวนการฟื้นฟูดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น แนวคิดของ Digital Wall of Resilience จึงไม่ใช่เพียงเครื่องมือด้านข้อมูล แต่เป็น “ระบบนิเวศความร่วมมือ” ที่จะช่วยให้ประเทศเผชิญความเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ ความมั่นคง และสังคมได้อย่างมีทิศทาง

“นอกจากนี้ BDI ซึ่งอยู่ภายใต้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะองค์กรหลักในการพัฒนาศักยภาพกำลังคนด้าน Big Data และ AI ยังเตรียมมอบของขวัญปีใหม่ 2569 ผ่านหลักสูตรออนไลน์ด้านปัญญาประดิษฐ์ในรูปแบบวิดีโอการสอนจำนวน 3 หลักสูตร ช่วยให้ผู้เรียนสามารถนำ AI ไปเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การเรียน และการสร้างเนื้อหา พร้อมต่อยอดเป็นทักษะใหม่เพื่อการประกอบอาชีพ หลักสูตรทั้งหมดจะเปิดให้เรียนฟรี ถือเป็นการยกระดับทักษะดิจิทัล เพื่อการพัฒนากำลังคนของประเทศ และขยายโอกาสการเรียนรู้อย่างทั่วถึงและยั่งยืน” ศ.ดร.ธีรณี กล่าวทิ้งท้าย

สามารถติดตามอัพเดตข้อมูลและกิจกรรมต่าง ๆ ของสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ได้ทางเว็บไซต์ https://bdi.or.th/ และ Facebook : BDI – Big Data Institute

Contact to : xlf550402@gmail.com


Privacy Agreement

Copyright © boyuanhulian 2020 - 2023. All Right Reserved.