“ท่องเที่ยว” เส้นเลือดใหญ่อุ้มเศรษฐกิจเข้าสู่โหมดอันตราย กระแสความไม่ปลอดภัยยังว่อนโซเชียล ความเชื่อมั่นกู่ไม่กลับ สถิตินักท่องเที่ยวจีนร่วงหนักเหลือแค่ 5,000-6,000 คนต่อวัน ความนิยมจีนเที่ยวไทยหลุดไปอันดับ 7 สวนทางคนจีนยังแห่นอก ไล่บี้ ททท.แก้โจทย์-ปั๊มตัวเลขโดยด่วน สมาคมแอตต้านำทัพบิ๊กเอเย่นต์ถกทางออก ของบฯ 300 ล้านบาทอุ้มชาร์เตอร์ไฟลต์-อัดฉีดเอเย่นต์ฝั่งจีนช่วยเติมหัวเชื้อ พร้อมจัด Mega FAM Trip เชิญ 300 เอเย่นต์จากทุกมณฑล-สื่อหลักมาอัพเดตโปรดักต์เที่ยวไทยฟื้นเชื่อมั่นปลายเดือน พ.ค.นี้

“ท่องเที่ยว” เส้นเลือดใหญ่อุ้มเศรษฐกิจเข้าสู่โหมดอันตราย กระแสความไม่ปลอดภัยยังว่อนโซเชียล ความเชื่อมั่นกู่ไม่กลับ สถิตินักท่องเที่ยวจีนร่วงหนักเหลือแค่ 5,000-6,000 คนต่อวัน ความนิยมจีนเที่ยวไทยหลุดไปอันดับ 7 สวนทางคนจีนยังแห่นอก ไล่บี้ ททท.แก้โจทย์-ปั๊มตัวเลขโดยด่วน สมาคมแอตต้านำทัพบิ๊กเอเย่นต์ถกทางออก ของบฯ 300 ล้านบาทอุ้มชาร์เตอร์ไฟลต์-อัดฉีดเอเย่นต์ฝั่งจีนช่วยเติมหัวเชื้อ พร้อมจัด Mega FAM Trip เชิญ 300 เอเย่นต์จากทุกมณฑล-สื่อหลักมาอัพเดตโปรดักต์เที่ยวไทยฟื้นเชื่อมั่นปลายเดือน พ.ค.นี้

แหล่งข่าวในธุรกิจท่องเที่ยว เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภาพรวมของธุรกิจท่องเที่ยวของไทยขณะนี้กำลังตกอยู่ในโซนอันตรายมาก แม้ว่าสถิติจำนวนนักท่องเที่ยวโดยรวมไตรมาสแรกที่ผ่านมาถึง 9.55 ล้านคน เติบโตเพิ่มขึ้น 2% และล่าสุดพบว่าตัวเลขสะสม ตั้งแต่ต้นปี-20 เมษายน 2568 ที่ผ่านมาจะมีจำนวนรวม 11.27 ล้านคน ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา แต่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าตัวเลขจะปรับตัวลงเหลือประมาณ 8.3-8.4 ล้านคนในช่วงไตรมาส 2 นี้ ซึ่งเป็นช่วงโลว์ซีซั่น

ตลาดนักท่องเที่ยววิกฤตหนัก

ทั้งนี้ ตลาดท่องเที่ยวที่เป็นปัญหาใหญ่ในขณะคือ ตลาดจีน ที่ยังคงมีแนวโน้มชะลอตัวหนักต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันพบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนทำสถิติตกต่ำสุดมาอยู่ที่ประมาณ 5,000-6,000 คนต่อวันเท่านั้น จากภาวะปกติที่มีอัตราเฉลี่ยประมาณ 14,000-17,000 คนต่อวัน และคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดือนเมษายนนี้จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับเดือนมีนาคมที่มีจำนวน 2.9 แสนคน

“เดือนมกราคมมีสถิติชาวจีนเที่ยวไทยจำนวน 6.6 แสนคน กุมภาพันธ์ลดลงเหลือ 3.7 แสนคน ติดลบถึง 44.9% เรียกว่าเป็นเดือนที่ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 15 เดือน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2567 และมีนาคมลดลงเหลือ 2.9 แสนคน คาดว่าเมษายนน่าจะอยู่ในระดับเดียวกับมีนาคม” แหล่งข่าวกล่าวและว่า

หากประเมินในภาพรวม ณ ขณะนี้เชื่อว่าตลาดนักท่องเที่ยวยังอยู่ในภาวะหล่นท้องช้างแบบนี้ไปอีกไม่ต่ำกว่า 5 เดือน ไปรอลุ้นเดือนตุลาคมซึ่งเป็นช่วงวันหยุดวันชาติจีนที่เรียกว่าโกลเด้นวีก ซึ่งปกติจะเป็นไฮซีซั่นของตลาดจีน และแน่นอนว่าตัวเลขรวมของนักท่องเที่ยวจีนปีนี้น่าจะต่ำกว่าปี 2567 ที่มีจำนวน 6.7 ล้านคน

บี้ ททท.ปรับแผนปั๊มตัวเลขจีน

แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า จากการหดตัวอย่างต่อเนื่องของตลาดนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ มีจำนวนและรายได้คิดเป็นประมาณ 25% ของตลาดรวมในปี 2562 ก่อนโควิด-19 รัฐบาลเร่งให้โจทย์กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) หน่วยงานด้านการทำตลาดเร่งปรับแผนและหาช่องทางสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดจีน และดึงนักท่องเที่ยวกลับมาโดยเร็ว

“หลังจากที่มีข้อมูลว่าประเทศไทยเราเสียแชมป์นักท่องเที่ยวจีนไปให้กับญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้ว และล่าสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา เราก็เพิ่งถูกเวียดนามแซงหน้าไป ยิ่งทำให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯต้องเร่งจี้ให้ ททท.เร่งปรับแผน เพื่อให้ประเทศไทยกลับไปเป็นเดสติเนชั่นในใจของนักท่องเที่ยวจีนเหมือนเดิม” แหล่งข่าวกล่าว

ตัวเลขจีนเที่ยวนอกพุ่งต่อเนื่อง

ดร.อดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า หน่วยงานด้านการท่องเที่ยวของสาธารณรัฐประชาชนจีนรายงานว่า ในปี 2566 มีจำนวนประมาณ 90 ล้านคน ปี 2567 มีจำนวนประมาณ 120-130 ล้านคน และคาดว่าปีนี้จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 150-155 ล้านคน

จากตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่า หลังจีนเปิดประเทศ ชาวจีนมีแนวโน้มออกเดินทางไปต่างประเทศต่อเนื่อง เพียงแต่ชะลอการเดินทางมาประเทศไทย ซึ่งจากการวิเคราะห์ของกลุ่มผู้ประกอบการของไทยพบ 2 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.เรื่องความปลอดภัย ซึ่งประเด็นไทยได้รับผลกระทบต่อเนื่องมาตั้งแต่เหตุการณ์ของนักแสดง “ซิงซิง”, ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ กระทั่งมาถึงประเด็นอุยกูร์ ฯลฯ ซึ่งลากยาวมาต่อเนื่อง ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังเป็นกระแสโซเชียลในจีนอย่างต่อเนื่อง

และ 2.ประเด็นทางการเมือง ทั้งประเด็นข่าวของกลุ่มจีนเทา ซึ่งกระทบต่อความรู้สึกของคนจีน รวมถึงประเด็นเรื่องทรัมป์ และแผนการเปิดกาสิโนของรัฐบาลไทย ที่มีกระแสว่ารัฐบาลจีนไม่เหตุด้วย จึงไม่สนับสนุนให้คนจีนมาเที่ยว เป็นต้น

ความนิยมไทยร่วงไปอันดับ 7

ดร.อดิษฐ์กล่าวด้วยว่า ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีเรื่องของกระแสความนิยมเที่ยวประเทศไทยลดลงไปด้วย โดยจากการสำรวจพฤติกรรมการท่องเที่ยวของชาวจีนในระดับโลกของ Jing Daily จากการสอบถามจาก 15,082 กลุ่มตัวอย่างจากช่องทาง TikTok, TV, Ctrip, Qunar และเสี่ยวหงซู พบว่า เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยไม่ติดท็อป 5 เดสติเนชั่นยอดนิยมของคนจีน

โดยพบว่า การสำรวจล่าสุดในช่วงไตรมาส 1/2568 ประเทศไทยติดอันดับ 7 เดสติเนชั่นยอดนิยมของคนจีน โดย 5 อันดับแรกคือ สิงคโปร์ ตามด้วยญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, มาเลเซีย และยุโรป ขณะที่ผลสำรวจในไตรมาสก่อน (ไตรมาส 4/2567) ประเทศไทยติดอยู่ในอันดับ 4 ซึ่งในช่วงก่อนวิกฤตโควิดประเทศไทยครองอันดับ 1 เดสติเนชั่นยอดนิยมของคนจีนมาโดยตลอด

“ในฟากของเอกชนเรามองเห็นปัญหานี้มาตลอด ซึ่งเชื่อว่าทาง ททท.เองก็มองเห็นปัญหาและหาทางแก้ไขมาตลอดเช่นกัน เพียงแต่เซนติเมนต์ของตลาดโดยรวมของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมาไม่เอื้ออำนวยนัก” ดร.อดิษฐ์กล่าว

ของบฯอัดฉัดชาร์เตอร์ไฟลต์ 300 ล้าน

ดร.อดิษฐ์กล่าวต่อไปว่า สมาคมแอตต้าในฐานะตัวแทนภาคเอกชนท่องเที่ยว ได้เล็งเห็นปัญหาการชะลอตัวของคนจีนเที่ยวไทยที่หนักหน่วงขึ้น ท่ามกลางการเติบโตของตัวเลขคนจีนออกเดินทางเที่ยวต่างประเทศนี้ มองว่าหากปล่อยให้เป็นไปแบบนี้โดยไม่ทำอะไร ปีนี้จำนวนจีนเที่ยวไทยอาจอยู่ในระดับแค่ประมาณ 5 ล้านคน ต่ำกว่าปี 2567 ที่มีจำนวน 6.7 ล้านคน

โดยจากการวิเคราะห์ตลาดที่ผ่านมาพบว่า ประเด็นหลักที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนหายไปคือ สายการบินที่ให้บริการในรูปแบบเช่าเหมาลำ หรือชาร์เตอร์ไฟลต์หยุดทำตลาดประเทศไทย เนื่องจากลูกค้าชะลอเดินทางมาไทย เพราะไม่เชื่อมั่นความปลอดภัย และหันไปทำตลาดอื่นที่ได้รับความนิยมและมีราคาถูกกว่า เช่น ญี่ปุ่น เวียดนาม ทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนไปโผล่ที่ญี่ปุ่นและเวียดนามเป็นจำนวนมาก

ล่าสุดสมาคมแอตต้าได้นำบริษัทนำเที่ยวตลาดจีนรายใหญ่กว่า 10 ราย ซึ่งก่อนโควิดนำนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเที่ยวไทยรวมราว 5 ล้านคน ร่วมให้ข้อมูลและหารือแนวทางกระตุ้นตลาดจีน โดยเสนอขอให้ ททท.และรัฐบาลจัดสรรงบประมาณ 300 ล้านบาท สำหรับมาสนับสนุนบริษัททัวร์ในฝั่งจีนให้ฟื้นเที่ยวบินชาร์เตอร์ไฟลต์จากเมืองรองจำนวน 1,000 เที่ยวบิน ในช่วงเวลา 3 เดือน (มิ.ย.-ส.ค. 2568)

“โดยทฤษฎีของการตลาด ตัวเลขนักท่องเที่ยวจะกลับมาได้ เราต้องฟื้นชาร์เตอร์ไฟลต์ และเอานักท่องเที่ยวจากเมืองรองเข้ามา ถ้าเราไม่ช่วยเขาก็ไม่ทำ เพราะทำแล้วขาดทุน ดังนั้นเราต้องช่วยเอเย่นต์ เพื่อให้เอเย่นต์ในจีนช่วยเติมหัวเชื้อไฟให้เราจุดตลาดที่มอดไปแล้วกลับมา เมื่อตลาดเริ่มติดแล้วมันจะกลับมาโตได้ด้วยตัวเองอีกครั้ง” ดร.อดิษฐ์กล่าว

ดึง 300 เอเย่นต์-สื่อหลักเยือนไทย

ดร.อดิษฐ์กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า เพื่อให้แผนงานบรรลุเป้าหมาย ยังเสนอตัวประสานงานกับบริษัททัวร์รายใหญ่ในฝั่งจีนเข้ามาอัพเดตแหล่งท่องเที่ยว และเห็นบรรยากาศของการท่องเที่ยวไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่น โดยเสนอให้ ททท.จัด Mega FAM Trip เชิญบริษัทนำเที่ยวในจีนจากทุกมณฑลจำนวน 300 บริษัท และสื่อหลักของจีน เช่น CCTV มาสัมผัสบรรยากาศภาพรวมการท่องเที่ยวของไทย

โดยเสนอให้นายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) เป็นประธานในการต้อนรับ และให้ข้อมูลในประเด็นความพร้อมในการต้อนรับและดูแลนักท่องเที่ยวของประเทศไทย หลังจากนั้นก็พาผู้ประกอบการทั้งหมดลงพื้นที่อัพเดตโปรดักต์เที่ยวไทย โดยกำหนดจัดในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมนี้เพื่อนำไปเสนอขายต่อไป

“หลังจากนั้นสมาคมแอตต้ากับ ททท. จะนำเอกชนท่องเที่ยวของไทยไปโรดโชว์ เพื่อขายประเทศไทยอีกครั้งในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2568 ซึ่งเชื่อมั่นว่าด้วยมาตรการการสนับสนุนเอเย่นต์ทัวร์จีนให้ทำชาร์เตอร์ไฟลต์ จะได้รับการตอบรับที่ดี เอเย่นต์กล้าที่จะกลับมาขายเดสติเนชั่นประเทศไทย และทำให้ท่องเที่ยวกลับไปอยู่ในใจของคนจีนอีกครั้งได้” ดร.อดิษฐ์กล่าว

ไทยปัญหาเยอะหวั่นลามตลาดอื่น

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ไม่เพียงแค่ปัญหาด้านจำนวนนักท่องเที่ยวในบางตลาดที่ชะลอตัวหนักเท่านั้น ขณะนี้ภาคการท่องเที่ยวของไทยยังเจอกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และสะท้อนจากกลุ่มผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องที่สื่อสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์มากมาย ทั้งในประเด็นตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เข้ามาใช้บริการลดลง และยอดขายวูบหายไปอย่างน่าตกใจนับตั้งแต่หลังเทศกาลวาเลนไทน์ (กลางเดือนกุมภาพันธ์) และก็ยังไม่ฟื้นจนถึงวันนี้ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน

รวมถึงกระแสที่ระบุถึงประเด็นที่ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่มาประเทศไทยด้วย อาทิ ราคาห้องพักโรงแรมและสายการบินที่ยังสูงมากเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด เรื่องความไม่ปลอดภัย การทำร้ายร่างกายนักท่องเที่ยว เจ้าหน้าที่รัฐรีดไถ คนต่างชาติเข้ามาทำมาหากินและสร้างปัญหา สถานที่ท่องเที่ยวสกปรก รวมถึงนักท่องเที่ยวบางตลาดมามากเกินจนทำให้มูลค่าการท่องเที่ยวของไทยลดลง ฯลฯ ซึ่งเป็นปัญหาที่มองว่าอาจส่งผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวตลาดอื่นในอนาคตหากรัฐบาลไม่เร่งจัดระเบียบด้านซัพพลายไซด์ให้ดี

Contact to : xlf550402@gmail.com


Privacy Agreement

Copyright © boyuanhulian 2020 - 2023. All Right Reserved.