ดร.นิเวศน์ กูรูนักลงทุนวีไอ เตือนนักลงทุน ใจเย็น ตั้งสติ เก็บเงินสดเพิ่ม เหตุไม่มั่นใจวิกฤตหุ้นรอบนี้ ล่าสุดทยอยขายหุ้นที่ยังไม่ได้ตกลงมามาก เพื่อเก็บเงินเตรียมตัวซื้อหุ้นดีที่ตกลงมามากเกินไปเมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจแย่ลงจากสงครามการค้า แต่ไม่หวังได้กำไรงดงามในยามวิกฤตครั้งนี้ เพราะกลัววิกฤตอาจจะไม่ฟื้นง่ายและอาจจะลากยาวเป็นหลาย ๆ ปีมาก โดยเฉพาะถ้าโลกเปลี่ยนจากการค้าเสรีเป็นการค้าแบบปิดกั้น

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor) เปิดเผยว่า ผมเพิ่งกลับจากการท่องเที่ยวที่ลอนดอนและจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งก็เป็นสถานที่ที่ผมไปมาหลายครั้ง ส่วนใหญ่ก็ไปที่เดิม ๆ ซึ่งก็มักจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง อังกฤษเองนั้นก็เป็นประเทศและสังคมที่เปลี่ยนแปลงน้อยเพราะเศรษฐกิจของอังกฤษค่อนข้างอิ่มตัวมานานแล้ว สิ่งที่น่าสนใจในอังกฤษก็คือ “ประวัติศาสตร์” ซึ่งบังเอิญเป็นสิ่งที่ผมชอบ ดังนั้นผมก็มักจะไปดูพิพิธภัณฑ์และของเก่า รวมถึงตลาดขายของเก่า และคราวนี้ผมก็ได้เห็นและซื้อโปสเตอร์ “เก่า” ที่เขาเอามาทำเป็นของที่ระลึก 2 ใบ เพราะข้อความในโปสเตอร์นั้นให้ข้อคิดเตือนใจที่ผมคิดว่าตรงกับสถานการณ์ของตลาดหุ้นในช่วงนี้

โปสเตอร์ใบแรกก็คือ โปสเตอร์เก่าที่ “ดังที่สุดตลอดกาล” ในอังกฤษ และก็น่าจะดังมากในอเมริกา โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตซับไพร์มปี 2009 ในตลาดหุ้นวอลสตรีท ที่มีการพูดถึงข้อความที่เขียนอยู่ในโปสเตอร์ว่า “Keep Calm and Carry On” ซึ่งมีความหมายว่า “ใจเย็น ๆ และ สู้ต่อไป”

หรือพูดง่าย ๆ เวลาเกิดปัญหาใหญ่ระดับ “วิกฤต” จะต้องใจเย็น มีสติ และก็สู้ต่อไป อย่าตกใจและยอมแพ้ แล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้น เฉกเช่นที่อังกฤษในช่วงปี 1939 ที่เกิดเหตุการณ์วิกฤต เกิดสงครามกับเยอรมันในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งอังกฤษต้องปลุกขวัญกำลังใจให้คนทั้งประเทศเตรียมตัวรับสงคราม และวิธีปลุกใจคนในสมัยนั้นที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งก็คือการทำโปสเตอร์ไปติดทั่วอังกฤษ

โปสเตอร์ “Keep Calm and Carry on” เป็น 1 ใน โปสเตอร์ 3-4 แบบ จำนวน กว่า 2.4 ล้านแผ่นที่ถูกทำขึ้น แต่สุดท้ายก็ไม่ได้นำไปใช้ อาจจะเพราะว่ามันฟังดูไม่ค่อยจะเข้ากับสถานการณ์ในตอนนั้น เพราะการรบยังไม่เกิดขึ้นจริง เป็นช่วง “สงครามเก๊” เมื่อเทียบกับโปสเตอร์แบบอื่น เช่น ที่เขียนว่า “เสรีภาพอยู่ในอันตราย ปกป้องมันสุดกำลัง” หรือ “ความกล้าหาญ ความคึกคัก และ ความเด็ดขาด จะนำเราสู่ชัยชนะ” เป็นต้น

และในเวลาต่อมาเมื่อการรบเกิดขึ้นจริง โปสเตอร์ Keep Calm ก็ไม่ได้ถูกใช้และถูกนำไปรีไซเคิลเพราะกระดาษในช่วงสงครามจริงขาดแคลน จนเวลาผ่านไปประมาณ 60 ปี คือปี 2000 เจ้าของร้านหนังสือเก่าแห่งหนึ่งไปพบโปสเตอร์นี้เข้า และคงเห็นว่าดี จึงนำไปทำกรอบและแขวนโชว์ที่ร้าน ซึ่งก็ทำให้ลูกค้าจำนวนมากสนใจอยากได้บ้าง เจ้าของร้านจึงไปทำก็อปปี้ขาย และคนก็นิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และแค่ในปี 2009 ปีเดียวก็ขายไป 40,000 ใบ อานิสงส์ส่วนหนึ่งจากภาวะวิกฤตตลาดหุ้น

สัญลักษณ์ คำพูด Keep Calm and Carry On บูมมาก และถูกนำไปใช้ในสินค้าและของที่ระลึกอื่น ๆ ตั้งแต่เสื้อยืด ถ้วยกาแฟ หมวก พรมเช็ดเท้าและอื่น ๆ รวมถึงการโฆษณาขายเค้กและกาแฟ เช่น “Keep Calm and Have a Cup Cake” หรือ “Keep Calm and Have a Cup of Coffee”

ว่าที่จริงมีการใช้คำนี้แบบดัดแปลงในการโฆษณาเป็นร้อย ๆ รายการ ตัวอย่างที่ผมเห็นในตลาดของเก่านั้นก็เช่น “Keep Calm and Drink Coca Cola” “Keep Calm and Listen To the Beatles” “Keep Calm and I Love Arsenal” เป็นต้น ว่าที่จริงผมเองก็เคยเขียนในบทความนี้เมื่อ 3-4 ปีก่อน ซึ่งผมดัดแปลงให้เข้ากับสถานการณ์ตลาดหุ้นที่กำลังลงแรงแต่ผมไม่แนะนำให้ขายหุ้นหนีตายว่า “Stay Calm Stay Invested” หรือ “ใจเย็น ๆ ถือหุ้นต่อไป”

ผมคิดว่าเหตุผลที่ทำให้คำ ๆ นี้ถูกใช้มากมาย ส่วนหนึ่งก็เพราะมันสั้นและเสียงมันคล้องจอง คำพูดติดปาก มีความหมายที่ดี และสามารถนำไปใช้กับอะไรก็ได้โดยดัดแปลงเพียงเล็กน้อย ถ้าจะพูดเกี่ยวกับตลาดหุ้นก็อาจจะคล้าย ๆ กับ “Sell In May and Go Away” ที่คนพูดจนติดปากว่า “ขายหุ้นในเดือนพฤษภาคมแล้วก็หนีไปเลย” (เพราะเดือนพฤษภาคมนั้นหุ้นจะไม่ดี- ซึ่งอาจจะไม่จริง)

สำหรับวิกฤตหุ้นช่วงนี้ ถ้าคิดว่าเดี๋ยวมันก็จะดี เราก็อาจจะใช้คำนี้ คือ “Keep Calm and Carry On” คือให้ทำใจเย็น อย่าตกใจขายหุ้นทิ้ง ถือหุ้นต่อไปหรือ “สู้ต่อไป” อย่างไรก็ตาม สำหรับผมเอง คราวนี้ผมไม่มั่นใจเท่าไรนัก ถ้าถามผมว่าควรจะทำอย่างไร ผมก็จะบอกว่า “Keep Calm, Keep Cash” คือ “ใจเย็น ๆ มีสติ เก็บเงินสด” นั่นก็คือ ผมไม่ได้ขายหุ้นอย่างตกใจ ผมถือเงินสดที่มีและอาจจะขายหุ้นเพิ่มบ้าง และรอว่าเมื่อหุ้นตกลงไปอีก ผมถึงจะนำเงินสดออกมาเก็บหุ้นที่มีราคาถูกหรือสมเหตุผลในกรณีของหุ้นที่ดีสุดยอดแบบซุปเปอร์สต็อกที่ราคาลงมามาก

โปสเตอร์ใบที่ 2 ที่ผมซื้อเป็นแผ่นโลหะติดแม่เหล็กที่ผมเห็นเมื่อผมไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ “ไททานิค” ที่เมืองเซ้าแทมป์ตัน เมืองท่าสำคัญใกล้กรุงลอนดอนซึ่งเป็นท่าเรือที่เรือไททานิคออกเดินทางไปสู่เมืองนิวยอร์คของอเมริกาของสายการเดินเรือ White Star Line ในปี 2455

โปสเตอร์โฆษณาก่อนการเดินทางเที่ยวแรกที่ประกาศชักชวนให้คนร่วมเดินทาง “ครั้งประวัติศาสตร์” มีภาพเรือไททานิคที่ใหญ่โตพร้อมกับข้อความเขียนว่า “ไททานิค ขนาด 45,000 ตัน เรือกลไฟขนาดใหญ่ที่สุด และปลอดภัยที่สุดในโลก” แถบล่างของโปสเตอร์เขียนว่า ออกเดินทางเที่ยวแรกวันที่ 10 เมษายน 1912 สู่มหานครนิวยอร์ค จากเมืองเซ้าแทมป์ตัน

และก็อย่างที่เรารู้กัน ไททานิคจมลงหลังจากออกเดินทางได้เพียง 4-5 วัน ในวันที่ 14-15 เมษายน เมื่อเรือชนภูเขาน้ำแข็งกลางทะเล พร้อมกับผู้โดยสารที่เสียชีวิตประมาณ 1,500 คน

“ข้อเตือนใจ” สำหรับผมก็คือ “หายนะ” นั้น เกิดขึ้นได้เสมอ แม้จะคิดว่าเราอยู่ในที่ที่ “ปลอดภัยที่สุด” ใครจะไปคิดว่าเรือที่ออกแบบมาอย่างดีสุดยอด ใหญ่ที่สุดในโลก โดยเทคโนโลยีที่ดีที่สุดของอังกฤษซึ่งเป็นมหาอำนาจทางเรือ “อันดับหนึ่ง” ของโลกในช่วงนั้น พร้อม ๆ กับกัปตันเรือ “หมายเลข 1” ในยุคนั้น ซึ่งคงจะทำให้คนเชื่อว่านี่คือเรือที่ “ไม่มีวันจม” จะจมลงตั้งแต่การเดินทางเที่ยวแรก

หุ้นก็เช่นเดียวกัน ไม่ว่าเราจะเชื่อมั่นแค่ไหนว่าพอร์ตของเรา “ปลอดภัย” หรือด้วยการออกแบบที่ลดความเสี่ยงโดยการกระจายความเสี่ยงเป็นอย่างดี ถือหุ้นกระจายไปทั่วทุกตลาดหรือทั่วโลก หุ้นที่ถือก็เป็นหุ้นที่ดีมีส่วนเผื่อความปลอดภัยสูง ไม่มีการใช้มาร์จินในการลงทุน และเราคิดว่า ยังไงเสีย การขาดทุนก็ไม่น่าจะเกิน 20-30% ในกรณีเลวร้ายที่สุด

เราก็ยังจะต้องระมัดระวังอยู่ดีว่า ยังมีโอกาสที่พอร์ตจะเกิด “หายนะ” ระดับ “ไททานิค” ได้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ การ “กระจายความเสี่ยง” โดยการถือหุ้นหลาย ๆ ตัวนั้น จริง ๆ สามารถลดความเสี่ยงได้เฉพาะความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากหุ้นแต่ละตัวเท่านั้นกรณีที่เราเลือกหุ้นผิด แต่มันจะไม่สามารถลดความเสี่ยงได้ถ้า “ทั้งตลาดล่มสลาย” ซึ่งกรณีแบบนั้น “ไม่มีหุ้นตัวไหนหรือใครรอด”

สำหรับคนที่ลงทุนแบบ Focus หรือทั้งพอร์ตและเงินแทบทั้งหมดนั้น อยู่ในหุ้นเพียงไม่กี่ตัว หรือเพียงตัวเดียวอย่างเช่น เจ้าของธุรกิจที่มีหุ้นจดทะเบียนในตลาดส่วนใหญ่ ความเสี่ยงของเงินลงทุนก็จะสูงมาก และในความเห็นของผมก็คือ “รับไม่ไหว” โดยเฉพาะในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในช่วงนี้ที่เกิดสงครามการระหว่างมหาอำนาจสองขั้วระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ที่อาจจะเปลี่ยนเกมการค้าของโลกไปอย่างสิ้นเชิง และธุรกิจที่น่าเป็นห่วงที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ คนที่ขายสินค้าส่งออกเป็นหลัก

กล่าวโดยสรุปก็คือ “วิกฤต” รอบนี้ ถ้าเกิดขึ้นเต็มรูปแบบจริง ซึ่งก็อาจจะในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า ผมยังไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วหุ้นจะตกลงมาแค่ไหน และเมื่อตกลงมาแล้ว ราคาหุ้นจะฟื้นกลับคืนมาเมื่อไรในเวลากี่ปีหรือกี่เดือน เมื่อเปรียบเทียบกับวิกฤตรอบก่อน ๆ ที่เราพบว่าหุ้น เมื่อวัดจากดัชนีจะตกลงมาประมาณ 50% และใช้เวลา อาจจะซัก 2-3 ปีที่จะกลับมาที่เดิม

ดังนั้น สิ่งที่ผมทำก็คือ ใจเย็น ตั้งสติ เก็บเงินสดไว้ระดับหนึ่งและทยอยเก็บเพิ่มโดยการขายหุ้นที่ยังไม่ได้ตกลงมามากนักในช่วงนี้ เพื่อเตรียมตัวซื้อหุ้นดีที่ตกลงมามากเกินไปเมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจแย่ลงเนื่องจากสงครามการค้า

อย่างไรก็ตาม ผมไม่คิดและไม่หวังว่าผมจะได้กำไรงดงามในยามวิกฤติครั้งนี้ เพราะผมกลัวว่า วิกฤตอาจจะไม่ฟื้นง่ายและอาจจะลากยาวเป็นหลาย ๆ ปีมาก โดยเฉพาะถ้าโลกเปลี่ยนจากการค้าเสรีเป็นการค้าแบบปิดกั้น ซึ่งจะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งโลกเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น หุ้นก็อาจจะมีแต่ดำดิ่งคล้ายเรือไททานิค ในกรณีแบบนั้น กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

Contact to : xlf550402@gmail.com


Privacy Agreement

Copyright © boyuanhulian 2020 - 2023. All Right Reserved.