แพทองธาร เปิดงาน “SPLASH-Soft Power Forum 2025” ชี้ไทยต้องปรับตัวรับสถานการณ์โลก เล็งจัดหมวดหมู่ยกระดับสู่สากล ชูส่งออกอัญมณีสยาม ตั้งเป้าช่วยสร้างเม็ดเงิน 1 ล้านล้านบาท ภายใน 5 ปี
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการการประชุมนานาชาติด้านซอฟต์พาวเวอร์ (SPLASH-Soft Power Forum 2025) ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “Thailand Rising : Tourism, Education and the New Soft Power Frontier” ว่ารู้สึกดีใจที่ได้มางาน SPLASH Soft Power Frontier 2025 อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 2 รู้สึกว่างานยิ่งใหญ่กว่าเดิม มีคนให้ความสนใจมากกว่าเดิม เป็นสิ่งที่น่าชื่นใจสำหรับทีมทำงานและคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ
ทุกวันนี้เราทุกคนกำลังอยู่ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและซับซ้อนมากกว่าทุกยุคที่ผ่านมา เรากำลังเผชิญโลกที่เปราะบาง น่าวิตกกังวล เข้าใจยาก และไม่ตรงไปตรงมาในโลกยุคใหม่ การเข้าใจบริบทของความเปลี่ยนแปลงที่จุดเริ่มต้นของทุกการเดินหน้า
“เราต้องเข้าใจก่อนว่าทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ และตัวเองต้องยืดหยุ่นเพียงพอที่จะปรับไปในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งที่เราเคยฝากความหวัง เช่น การเป็นดีทรอยต์แห่งเอเชียเป็นอุตสาหกรรมในยานยนต์ต่าง ๆ หรือหวังที่จะเป็นครัวของโลก เราก็ต้องปรับตัวตาม บางอย่างที่อาจจะไม่ถนัดในวันนี้อาจจะต้องปรับตัวให้มากขึ้น ทำให้เราอยู่เฉยไม่ได้ จึงต้องปรับตัวให้ทันต่อการแข่งขันอยู่ตลอดเวลา” แพทองธารกล่าว
แพทองธารกล่าวว่า วันนี้ที่ประเทศไทยยืนอยู่บนแยกของอนาคตจะต้องมีการลงทุนใหม่ ๆ อุตสาหกรรมใหม่ในอนาคตและเทคโนโลยี ซึ่งเป็นรากฐานของเศรษฐกิจที่ต้องใช้เวลานาน แต่รัฐบาลได้เริ่มแล้วในการวางรากฐานเผื่ออนาคตและให้ทันต่อโลกของเรา
นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับซอฟต์พาวเวอร์ที่ทั่วโลกไม่ได้สนใจซื้อแค่สินค้าหรือบริการ แต่การซื้อประสบการณ์ หรือสิ่งที่สะท้อนความเป็นตัวของเรา ความเป็นออริจินอลของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะไทยที่มีวัฒนธรรมเข้มข้น
ทั้งวัฒนธรรมด้านอาหาร และความเป็นอยู่ รวมถึงคนไทยที่มีเสน่ห์และรอยยิ้มความช่วยเหลือมีน้ำใจเป็นสิ่งที่ทั่วโลกยอมรับ และหลงเสน่ห์มานาน เมื่อทั้งโลกสนใจ เราจึงต้องเน้นและรวบรวมเป้าหมายวัฒนธรรมจากท้องถิ่นจริง ๆ โดยเราจะรวบรวมให้เป็นหมวดหมู่มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ขายได้มากขึ้น
แพทองธารกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมานโยบายซอฟต์พาวเวอร์เดินหน้าอย่างมีทิศทาง มีการแบ่งกลุ่ม เพื่อให้รัฐและเอกชนทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ ให้มีเป้าหมายเดียวกัน ลดความซ้ำซ้อน จากนั้นจะเป็นการยกระดับเพื่อเชื่อมโลก
เริ่มต้นที่ “อาหารไทย” จุดแข็งที่ทั้งโลกหลงรัก เราไม่ได้แค่จะขายรสชาติ แต่จะขายประสบการณ์ของความเป็นไทย เราจะยกระดับอาหารไทยให้เป็นแบรนด์ระดับโลกและเป็นจุดหมายปลายทางของนักเดินทาง ด้วยโมเดลร้าน Thai Cuisina (ไทยคูซิน่า) ซึ่งจะครอบคลุมถึงขั้นตอนสุดท้าย หรือ Last Mile ของ Supply Chain อาหารไทย คือเราจะรวมร้านอาหารไทย 4 ภาค และซูเปอร์มาร์เก็ตขายผลิตภัณฑ์อาหารไทยสำเร็จรูปที่มีคุณภาพไว้ในที่เดียวกัน
รวมทั้งยังจะเป็นศูนย์ค้าส่งกระจายผลิตภัณฑ์อาหารไทยในต่างประเทศอีกด้วย เราวางแผนว่าจะให้มีร้านเหล่านี้ไปอยู่ตามเมืองใหญ่ทั่วโลก
พร้อมทั้งยกระดับการท่องเที่ยวในการต้อนรับนักเดินทางสายกิน ด้วย ประสบการณ์แบบ Thai Culinary Tourism อย่างจริงจัง ทั้งคลาสเรียนทำอาหาร ทัวร์แหล่งวัตถุดิบท้องถิ่น ควบคู่ไปกับการสร้างมาตรฐาน Thai Select ให้สามารถเทียบเคียงได้กับรางวัลทางอาหารอื่น ๆ เช่น Michelin Star โดยจะการันตีรสชาติอาหารที่เป็นไทยและใช้วัตถุดิบไทย
“มวยไทย” จะไม่ใช่แค่กีฬาอีกต่อไป แต่มวยไทยจะกลายเป็นไลฟ์สไตล์ใหม่ของชาวโลก โดยการสร้าง Muay Thai Bootcamp ให้เป็นเทรนด์ใหม่ที่ใครก็อยากทำ ที่ได้ทั้งความฟิต สุขภาพดี และได้ Detox พบกับความสงบ รวมทั้งพัฒนาลีกอาชีพให้แข็งแรง มีการแข่งขันที่มีคุณภาพ ดูสนุก และยกระดับมาตรฐานมวยไทยในทุกมิติ
“Thai Wellness” โอกาสใหม่ในยุคที่คนทั่วโลกแสวงหาความสมดุล เราจะผสาน นวดไทย สมุนไพร อาหารสุขภาพ และสมาธิ ให้กลายเป็นประสบการณ์แบบองค์รวม สร้าง Thai Retreat Chain ให้ครบทุกมิติมีทุกอย่าง ตั้งแต่การบำบัดร่างกายจนถึงการพักใจ สร้างมาตรฐาน Spa และ Therapist แบบไทย
พร้อมผลักดันยกระดับสมุนไพรไทยและนวดไทยที่รองรับด้วยการวิจัยทางการแพทย์ พร้อมสำหรับการทำเป็นสินค้าส่งออกและส่งเสริมร้านนวดไทยเพื่อสุขภาพแบบมืออาชีพไปทั่วโลก
“ภาพยนตร์ไทย” คือสนับสนุนคนทำหนังไทยให้กล้าฝันและกล้าสร้างผ่านพื้นที่ทดลองอย่าง Writer’s Room และ Creative Lab ด้วยการสนับสนุนเทคโนโลยีเพื่อสร้างหนังไทยที่มีเอกลักษณ์ให้ต่างชาติเข้าใจความบันเทิงแบบไทย
เราจะสนับสนุนภาพยนตร์ไทยด้วยสิทธิประโยชน์คืนเงิน หรือ Cash Rebate เช่นเดียวกับที่เราให้กองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศ พร้อมดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ผ่านกองทุน Coproduction และจะจัดงาน “เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพ Bangkok International Film Festival ให้เป็นเทศกาลภาพยนตร์สำคัญของโลก เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้านภาพยนตร์และสร้างตลาดการซื้อขายภาพยนตร์นานาชาติที่กรุงเทพฯ
และ “อัญมณี” เป็นอุตสาหกรรมส่งออกอันดับต้น ๆ ของเรา ซึ่งเกิดจากทักษะสร้างสรรค์ของคนไทย
“เมื่อ 20 ปีที่แล้วมียอดส่งออกอัญมณีประมาณ 50,000 ล้าน แต่ปีที่แล้วเราส่งออกอัญมณีไปกว่า 500,000 ล้าน เพิ่มขึ้น 10 เท่า และเพียง 5 เดือนแรกของปีนี้ส่งออกไปแล้ว 380,000 ล้าน มีคนในอุตสาหกรรมนี้ถึง 1 ล้านคนค่ะ” นายกรัฐมนตรีกล่าว
ดังนั้น จึงจะฝึกอบรมนักออกแบบ ช่างเจียระไนเพชร ช่างทอง ช่างเงินจำนวนมาก และยกระดับจากช่างให้เป็นศิลปิน มีค่าตอบแทนสูง และเราจะใช้มาตรการต่าง ๆ ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมนี้ เพื่อเพิ่มมูลค่าส่งออกอัญมณีให้ถึง 1 ล้านล้านบาทภายใน 5 ปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า งานดังกล่าวมีรัฐมนตรีเข้าร่วม อาทิ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม, นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง, นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง, นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ, นายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ รวมถึงนายปิฎก สุขสวัสดิ์ สามีนายกรัฐมนตรี และตัวแทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชนที่สนใจเข้าร่วมจำนวนมาก
Contact to : xlf550402@gmail.com
Copyright © boyuanhulian 2020 - 2023. All Right Reserved.