วันที่ 10 ก.ย.2568 ที่รัฐสภา เวลา 18:15 น.นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก ให้สภามีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ แต่ต้องให้ประชาชนออกเสียงประชามติให้ความเห็นชอบว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเจตนารมย์ของรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคภูมิใจไทยที่เห็นพ้องต้องกันกับพรรคประชาชน ที่ต้องมีการเร่งจัดทำร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง โดยรายละเอียดพรรคภูมิใจไทยจะมีการหารือกับพรรคประชาชนในภายหลัง ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามข้อตกลง ซึ่งMOA ที่ทุกคนเรียกกันมาตลอดนั้นอาจไม่ถูกต้องทีเดียวในความเป็นจริงต้องเรียกว่าagreementหมายความว่าไม่มี MO มีแต่ A (agreement) และจะปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ได้ตกลงกันไว้กับพรรคประชาชน

นายอนุทิน กล่าวว่า ในส่วนของการจัดทำประชามติครั้งที่ 1 พร้อมกับการเลือกตั้งไม่มีอะไรต้องกดดัน เมื่อครบระยะเวลา 4 เดือนปุ๊บก็ยุบสภาทันที และหลังยุบสภาก็ไม่มีใครมากดดันอะไรทั้งนั้น คนเราทำงานอย่าไปกดดัน ต้องมีความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน เพราะข้อตกลงที่เกิดขึ้นมาได้พรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชน มีความเห็นพ้องกันต้องการว่าสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นอยู่ต้องหาทางออกที่ดีที่สุดคือการยุบสภา ซึ่งก่อนวันโหวตนายกฯรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยไม่มีนายกรัฐมนตรีตัวจริงก็ต้องเป็นตนที่มาทำหน้าที่สานต่อ ซึ่งมาพร้อมกับข้อตกลงยุบสภาภายใน 4 เดือน ตนต้องทำตามข้อสัญญา

เมื่อถามว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถือว่าเป็นการปิดประตู ส.ส.ร.จากการเลือกตั้งของประชาชนหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ยังไม่ได้ดูรายละเอียด เพราะวันนี้งานยุ่งทั้งวัน ต้องตรวจสอบคุณสมบัติของว่าที่รัฐมนตรี อีกทั้งยังต้องรับรายงานจากว่าที่รมว.กลาโหม ที่ไปประชุม GBC เรื่องชายแดนไทย-กัมพูชา และตนต้องมาประชุมที่สภาพูดได้อย่างเดียวว่า อะไรที่ตกลงกันไว้ก็เป็นไปตามนั้นไม่ต้องกังวล

“การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของสภา ภายใน 4 เดือน ถ้าทำได้ก็จะเป็นไปตามขั้นตอน แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องค้างเอาไว้ก่อน จากนั้นก็ยุบสภาก่อนจะมีการเลือกตั้งใหม่ และทุกคนก็ต้องชี้แจงให้พี่น้องประชาชนฟังว่าแต่ละพรรคมีแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างไร”นายอนุทิน กล่าว