‘โอ๊ค-เอม’ เยี่ยม ‘ทักษิณ’ หลังอัยการสูงสุด พลิกอุทธรณ์ สั่งฟ้องคดี 112 ลั่นไม่ได้รับความยุติธรรม ลุยสู้ต่อ เผยพ่อเสียใจ รู้สึกเจ็บช้ำ

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 17 พ.ย. 2568 ที่เรือนจำกลางคลองเปรม ถนนงามวงศ์วาน กรุงเทพมหานคร ครอบครัวได้เข้าเยี่ยมนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นครั้งที่ 17 หลังจากถูกคุมขังภายในเรือนจำ

โดยมีนายพานทองแท้ ชินวัตร หรือโอ๊ค บุตรชายคนโตของนายทักษิณ น.ส.ณัฐฐิญา ปวงคำ หรือติ๊ก ภรรยาของนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ หรือเอม บุตรสาวคนกลางของนายทักษิณ เข้าเยี่ยม

เมื่อขบวนรถของครอบครัวชินวัตรมาถึง นายพานทองแท้ น.ส.ณัฐฐิญา และน.ส.พินทองทา ได้ลงจากรถ ยกมือไหว้ทักทายสื่อมวลชนและมวลชนคนเสื้อแดงที่มารอต้อนรับและให้กำลังใจ ก่อนเดินเข้าไปด้านในเรือนจำฯ พร้อมกับนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความประจำตัวของนายทักษิณ โดยสีหน้าของทั้ง 3 คน ยังคงยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ปรากฏความเครียดหรือวิตกกังวล

สำหรับการเข้าเยี่ยมนายทักษิณในวันนี้ ทางครอบครัวชินวัตรมีการเปลี่ยนกำหนดการครั้งแรก จากเดิมที่มักจะเข้าเยี่ยมในช่วงเช้าเวลาประมาณ 09.00-10.00 น. มาเป็นช่วง 13.00 น.

นอกจากนี้ยังมีประเด็นล่าสุดที่นายอิทธิพร แก้วทิพย์ ได้ใช้อำนาจอัยการสูงสุด ให้สั่งฟ้องนายทักษิณ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เเละความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ 2560 กรณีให้สัมภาษณ์สื่อทีวีประเทศเกาหลีใต้ โดยมีเนื้อหากระทบสถาบัน ก่อนจะครบกรอบขยายเวลาอุทธรณ์ต่อศาลอาญาในวันที่ 21 พ.ย. 2568 อีกด้วย

ต่อมาเวลา 13.35 น. น.ส.พินทองทา เปิดเผยด้วยสีหน้าไม่สู้ดีว่า หลังจากที่ได้เข้าเยี่ยมคุณพ่อด้านใน คุณพ่อดูเสียใจ และคุณพ่อก็เสียใจจริงๆ ท่านรู้สึกเจ็บช้ำ ส่วนหลังจากนี้คุณพ่อจะมีวิธีการเตรียมสู้หรือชี้แจงอย่างไรนั้น คงจะต้องมีการวางแผน ซึ่งก็ต้องสู้

“ถ้าเรายังไม่ได้รับความยุติธรรม เราก็ต้องสู้ต่อค่ะ แต่ว่าในจุดนี้เราก็ห่วงเรื่องของความรู้สึกคุณพ่อ เนื่องด้วยท่านก็อยู่ข้างในนี้ ไม่ได้มีใครอยู่กับท่านเลยค่ะ (น้ำเสียงสั่นเครือ) พวกเราได้แต่ส่งกำลังใจ และอันนี้มันก็เพิ่งวันนี้เอง เราก็ยังโชคดีที่ได้เข้ามาเยี่ยมคุณพ่อ” น.ส.พินทองทา เผย

เมื่อถามว่าเรื่องวันนี้เป็นเรื่องที่กระทบจิตใจของครอบครัวอย่างมากใช่หรือไม่ เพราะคุณทักษิณเองก็ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมไปแล้ว แต่อัยการสูงสุดกลับให้สั่งฟ้องนายทักษิณ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ปรากฏว่า น.ส.พินทองทา ได้ยิ้มเบาๆ ก่อนเม้มปากหลายครั้ง กะพริบตาถี่ มีน้ำตาคลอ ไม่ได้ตอบคำถาม

กระทั่งนายพานทองแท้ ตอบคำถามแทนว่า ก็เป็นเรื่องที่ทำให้จิตตกพอสมควร แต่เราก็ขอขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้กับครอบครัวเรา

จากนั้น น.ส.พินทองทา นายพานทองแท้ และ น.ส.ณัฐฐิญา ได้ยกมือไหว้ขอบคุณสื่อมวลชน และยุติการให้สัมภาษณ์

ระหว่างที่ทั้งหมดกำลังจะขึ้นรถเดินทางกลับนั้น มีนางผุสดี กลิ่นทอง หรืออาจารย์เป้า แดงสิงห์บุรี ได้เป็นตัวแทนมอบป้ายไวนิลรูปภาพของนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งภายในมีไดอารี่หัวใจสีแดงหลายแผ่นพร้อมข้อความถ้อยคำร้อยเรียงความรัก ความศรัทธา กำลังใจของคนเสื้อแดงที่มีต่ออดีตนายกรัฐมนตรี มอบให้กับ น.ส.พินทองทา และกล่าวว่า “เราจะสู้ไปด้วยกัน เราจะสู้เพื่อท่าน“ โดย น.ส.พินทองพา ได้รับไวนิลพร้อมยกมือไหว้กล่าวขอบคุณ

ด้านนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ เปิดเผยว่า การเข้าเยี่ยมนายทักษิณในวันนี้ พบว่าท่านก็ได้กำลังใจดีๆ จากลูกๆ ของท่าน ซึ่งวันนี้ถือเป็นครั้งที่ 2 ที่นายพานทองแท้ได้เข้าเยี่ยมพร้อมกับภรรยา ยิ่งสร้างกำลังใจให้กับท่าน รวมถึงกรณีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรืออิ๊งค์ และ น.ส.พินทองทา ได้เข้าเยี่ยมคุณทักษิณอยู่เรื่อยๆ ก็เป็นกำลังใจที่ดีของท่าน พร้อมกับประชาชนที่ส่งกำลังใจให้ท่านตลอด

ทนายวิญญัติ กล่าวต่อว่า ท่านรับรู้ที่คนเสื้อแดงคอยจัดกิจกรรมด้านหน้าเรือนจำฯ ขอบคุณที่ยังนึกถึงท่าน และนึกถึงคุณูปการที่ท่านได้ทำเพื่อประเทศชาติ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้ท่านเจ็บปวดเสียใจที่กระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นการใช้อำนาจผ่านกระบวนการยุติธรรมหรืออำนาจใด ๆ ที่พยายามจะกลั่นแกล้งท่าน ตนขอใช้คำว่า ท่านเองก็ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท่านมีความเสียใจจากสิ่งที่เกิดขึ้น

ทนายวิญญัติ เปิดเผยอีกว่า ส่วนกระบวนการต่อสู้หรือการยื่นอุทธรณ์หลังจากนี้นั้น ตนขอบอกว่าสู้แน่นอน เพราะท่านทักษิณเป็นนักสู้ และยิ่งท่านไม่ได้ผิดอะไร ไม่ได้เจตนาที่จะกระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา ท่านจะสู้ให้ถึงที่สุด

ทนายวิญญัติ กล่าวต่อว่า เรื่องนี้ขอให้สังเกตว่าอัยการสูงสุดที่มีความเห็นแย้งกับมติของคณะทำงานที่ท่านเองก็อ้างว่าไม่ใช่คณะทำงานที่มาดูแลหรือสั่งคดีนี้ หมายความว่า คณะทำงานที่เกิดขึ้นในสมัยอดีตอัยการสูงสุดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ซึ่งตนได้ยินมาว่ามีมติ 7:2 หรือบ้างก็ 8:2 ที่มีความเห็นว่าไม่สมควรอุทธรณ์ แต่มตินั้นก็หายไป 1 มติ คือ เป็นประธานคณะทำงานหรือไม่ เพราะหลังจากนั้นก็มาดำรงตำแหน่งเป็นอัยการสูงสุดต่อหรือไม่ จึงเป็นเหตุที่ทำให้เห็นว่าควรจะพลิกจากมติเดิมหรือไม่ ทั้งนี้ มติจะเป็นอย่างไรก็ถือเป็นมติองค์กรของพวกท่าน ซึ่งเป็นองค์กรอัยการ

ทนายวิญญัติ กล่าวอีกว่า ตนในฐานะทนายความ ทำคดี สู้คดีมาทุกคดี ไม่มีคดีใดง่าย และเราสู้สุดทุกคดี เเละเนื้อหาในคดีนี้เราก็ยืนยันมาตลอดว่าท่านไม่มีเจตนาที่จะกล่าวถึงเบื้องสูง และถ้อยคำที่ชัดเจนก็บอกมาตั้งแต่ชั้นอัยการที่มีความเห็นในชุดแรกๆ ว่าไม่เห็นสมควรอุทธรณ์ อีกทั้งศาลชั้นต้น (ศาลอาญารัชดาภิเษก) ก็ได้ยกฟ้อง มันชัดเจนแล้วว่าไม่มีถ้อยคำใดที่จะกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์

ทนายวิญญัติ เปิดเผยอีกว่า ส่วนกระบวนการหลังจากนี้หากอัยการจะยื่นอุทธรณ์ก็คงต้องดำเนินการภายในวันที่ 21 พ.ย. 2568 ถ้ามีการยื่นและส่งหมายมา เราก็มีหน้าที่ที่จะแก้อุทธรณ์ต่อไป ซึ่งกระบวนการแก้อุทธรณ์ก็ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรในการประชุมและยกร่างแก้อุทธรณ์ ซึ่งการใช้เวลาพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ก็คงใช้เวลาหลายเดือน

ทนายวิญญัติ กล่าวต่อว่า ในฐานะทนายความ ตนก็จะใช้สิทธิ์ในการไปยื่นขอข้อมูลและความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรองคดีมาตรา 112 ซึ่งตนขอเลยว่าอย่ามาอ้างว่าเป็นความลับ หรืออ้างเปิดเผยไม่ได้ เพราะตนเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ท่านกล้าตัดสินใจอุทธรณ์สั่งฟ้อง ก็ต้องกล้าเปิดเผยในส่วนของคณะทำงานที่มีความเห็นและวินิจฉัยไม่อุทธรณ์มติ 7:2 นี้

ทนายวิญญัติ กล่าวอีกว่า ตนจะไปคัดสำเนาเพื่อนำไปใช้ประกอบในการยื่นอุทธรณ์ แม้ใช้เป็นพยานหลักฐานในการประกอบในชั้นอุทธรณ์ไม่ได้ แต่ความเห็นที่เกิดขึ้น ตนก็อยากรู้ว่าที่อัยการสูงสุดท่านนี้มีความเห็นให้อุทธรณ์ ท่านมีความเห็นอย่างไร หรือจะบอกว่าความเห็นนั้นไม่ใช่ความเห็นที่ตนลงมติไว้ หรือตนไม่มีส่วนในความเห็นใดๆ แต่เมื่อเป็นอัยการสูงสุดแล้วจึงสามารถออกความเห็นตรงนี้ได้หรือไม่ ก็เป็นเรื่องของท่าน เป็นสิทธิของท่านหรือไม่อย่างไร ตนก็แค่ตั้งข้อสังเกตตรงนี้ไว้

ทนายวิญญัติ กล่าวต่อว่า อีกประการ คือ พยานของโจทก์ในคดีดังกล่าว ด้วยความที่ตนว่าความแต่ตนเห็นพยานหลักฐานทุกชิ้น แม้สมบูรณ์หรือไม่อย่างไร เราไม่พูดอยู่แล้ว แต่เราจะสู้ในชั้นอุทธรณ์ และตนเชื่อว่าศาลอุทธรณ์ หรือจะไปถึงศาลฎีกา จะพิจารณาพยานหลักฐานนี้อย่างละเอียด พยานหลักฐานมีเท่านี้ สำนวนมีเท่านี้ และพวกท่านหาพยานบุคคลมาที่มีข้อเคลือบแคลงสงสัยถึงความเป็นกลางและอคติชัดเจนนี้จะไปต่ออย่างไร ตนอยากให้ประชาชนได้จับตาดูว่าความยุติธรรมหาได้จริงหรือไม่ ซึ่งท่านทักษิณก็บอกแล้วว่าท่านไม่ได้รับความยุติธรรม

เมื่อถามสำหรับการอุทธรณ์สั่งฟ้องคดีมาตรา 112 ของอัยการสูงสุดมีผลต่อการพิจารณาพักการลงโทษของนายทักษิณ หรือไม่ ทนายวิญญัติ กล่าวว่า ไม่เกี่ยวกัน เพราะการอุทธรณ์ก็เป็นเรื่องของกระบวนการ แต่การพักโทษก็เป็นระยะเวลาที่มีตามกฎหมายที่ผู้ต้องขังทุกคนได้รับสิทธิเท่าเทียมเสมอภาคกันอยู่แล้ว เพราะเมื่อถึงเวลา 2 ใน 3 ของโทษที่ได้รับมา ก็จะมีการพิจารณาพักโทษอยู่แล้ว และด้วยท่านอายุ 70 ปี ถูกคุมขังมาแล้วระยะเวลาหนึ่ง ก็ไม่น่ามีผลกระทบ

ทนายวิญญัติ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นแผนสกัดไม่ให้คุณทักษิณ ได้ออกมาหรือไม่ เพราะคุณสมบัติของคุณทักษิณเองก็มีอายุ 70 ปี และมีอาการเจ็บป่วย อาจเข้าโครงการพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษฯ แต่เมื่อมีคดีมาต่อเช่นนี้ อาจไม่ได้รับการพิจารณานั้น ตนมองว่า ข้อสังเกตของคุณชูวิทย์ก็เป็นข้อสังเกตหนึ่งที่ควรรับฟังในฐานะคนไทยที่เราฟังความเห็นของบุคคลต่างๆ อยู่แล้ว

ทนายวิญญัติ กล่าวอีกว่า แต่ความเห็นของคุณชูวิทย์ ตนขออนุญาตไม่แสดงความเห็นใดๆ แต่ถ้าหากเป็นเช่นคุณชูวิทย์ตั้งข้อสังเกตจริง ก็ขอให้ประชาชนคิดตามว่าการใช้อำนาจและการแทรกแซงต่างๆ รวมถึงอาจแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมในชั้นอัยการหรือไม่ มีจริงหรือไม่ เพราะในอดีตที่ผ่านมาพวกเราก็เรียนรู้กันได้ แต่ในฐานะทนายความ ยืนยันว่าท่านทักษิณไม่ได้รับความเป็นธรรม

ทนายวิญญัติ กล่าวต่อว่า ในอนาคตจะมีการพิจารณาร้องเอาผิดอัยการสูงสุดคนปัจจุบันในการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่เราต้องดูในอนาคตว่าเป็นอย่างไร ร้องหรือไม่ร้องตนยังไม่ได้คิด ก็ต้องดูเนื้อหากันไป ท่านก็ใช้อำนาจของท่าน และอำนาจของอัยการสูงสุดในประเทศนี้ตนก็เห็นมาเยอะแล้วว่ามีอะไรพิสดารอยู่เรื่อยๆ ทำให้นึกถึงคำว่าอภินิหารทางกฎหมาย เพราะก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว จะเกิดขึ้นในยุคนี้อีกครั้งก็ไม่รู้สึกแปลกใจแต่เสียใจ

Contact to : xlf550402@gmail.com


Privacy Agreement

Copyright © boyuanhulian 2020 - 2023. All Right Reserved.