เอม ภูมิภัทร เขินคนชมฝีมือแสดง รับเหงา ได้รางวัลไม่รู้จะง้วยกับใคร แชร์มุมมองความรักสองดวงจิต ไม่เกี่ยวหน้าตา เผยสเป๊กความพอดี
ได้รับการยอมรับชื่นชมฝีมือการแสดง เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น สำหรับ เอม-ภูมิภัทร ถาวรศิริ ซึ่งการันตีด้วยรางวัลสมทบชายยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์ วัยหนุ่ม 2544 ทำให้เจ้าตัวมีกำลังใจสู้กับความคาดหวัง และอุปสรรคใหม่ๆ
โดยล่าสุดวันที่ 21 เม.ย. 2568 หนุ่มเอม เปิดใจหลังมาร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการค่ายผลิตภาพยนตร์สำหรับนักเรียน-นักศึกษา และหลักสูตรออนไลน์ด้านภาพยนตร์ สารคดี ละคร ซีรีส์ และแอนิเมชัน สำหรับประชาชนทั่วไป ภายใต้นโยบาย 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ (OFOS)ประจำปีงบประมาณ 2568 ณ SCBX NEXT TECH ชั้น 4 ศูนย์การค้าสยามพารากอน
เผยถึงเส้นทางในวงการกว่า 9 ปี ขอบคุณที่หลายคนเห็นถึงความสามารถ แต่กระนั้นเจ้าตัวก็ยังไม่พอใจศักยภาพของตนเองขนาดนั้น บอกไปต่อได้มากกว่านี้ พร้อมเผยมีหลายคนที่เก่งกว่าแต่ไม่สามารถยืนอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ได้ เป็นความคับแค้นใจทำให้มาทำงานสมาคมนักแสดงฯ ที่ผ่านมาหลายครั้งที่ตนเคยแคสงานไม่ผ่าน นอนร้องไห้ คิดท้อไม่อยากไปต่อกับเส้นทางนี้ แต่ก็ยังเชื่อมั่นในแพชชั่น เพราะรักหนังไทย และมีความหวังอยากเห็นอุตสาหกรรมหนังไทยเบ่งบานฟื้นฟูอีกครั้ง นอกจากนี้ยังเผยถึงมุมมองความรักที่เปิดกว้าง และสเป๊กที่ใช่
คนยอมรับฝีมือการแสดงของเรามากขึ้น การันตีด้วยรางวัล? “จริงปะเนี่ย ผมขอบคุณสำหรับความเห็นถ้าเป็นรางวัลของสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทยล่าสุดที่ผ่านมา เหมือนที่ผมบอกไว้บนเวที อาจจะมีความกรึ่มๆ หน่อยนะตอนพูดสปีช มันเป็นรางวัลของทุกคน เราไม่สามารถแสดงได้ถ้าไม่มีทีมงานทุกคน ผมรู้สึกว่ารางวัลที่ดีที่สุดสำหรับผมในฐานะนักแสดงมันคือการได้ทำงานกับคนที่เรารู้สึกรัก เราได้ใช้เวลาในช่วงวัยนี้ไปกับพวกเขา มันเป็นรางวัลของผมแล้ว สิ่งที่มันเกิดขึ้นบนเวทีประกาศรางวัลมันเลยเป็นเรื่องที่เกินความคาดหวัง แต่มันก็เป็นสิ่งที่ชูกำลังใจทำให้เราไปต่อ มันเกิดขึ้นปีละครั้งเป็นเรื่องดีครับ”
“รางวัลสมาคมผู้กำกับฯ มันเป็นระบบรางวัลคะแนนโหวตของทุกคน ผมก็ขอบคุณทุกคะแนนโหวตของพี่ๆ เพื่อนๆ น้อง ๆ ทุกคนในอุตสาหกรรมวงการภาพยนตร์ มันเป็นกำลังใจที่ดีครับ แต่ผมจะไม่มองว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้ผมติดขัดหรือไปต่อไม่ได้ หรือผมพอใจ ไม่ ผมกลัวสิ่งนี้มาก ผมต้องการทำทุกงานโดยเฉพาะงานปัจจุบันให้เป็นงานที่ดีที่สุดในชีวิต แต่มันก็ยากเหลือเกิน ยากมากๆ เราต้องสู้กับความคาดหวังใหม่สู้กับอุปสรรคใหม่ไปเรื่อยๆ ก็ขอบคุณมากๆ ครับที่ชื่นชมในผลงานของผม ก็สัญญาว่าผมจะพยายามทำให้ดียิ่งขึ้นไป”
ถ้ามีคนชมว่าเรามีชื่อเสียง ดังแล้ว แมสในการเป็นนักแสดง เราไม่อยากรับ? “ไม่ใช่ว่าไม่อยากจะรับสิ ผมเขิน ก็ขอบคุณมากๆ จริงๆ ได้หมดเลยครับ ผมอาจจะรู้สึกดีใจที่ได้ทำงานในช่วงอุตสาหกรรม 4-5 ปีหลัง เหมือนมันจะมียุคหนึ่งที่หนังไทยกับคนดูไทยอาจจะหากันยังไม่เจอ ผมรู้สึกว่าช่วง 4-5 ปีหลัง เราค่อยๆ คลำทางคลำหากันเจอบ้างแล้วกับคนดู ผมเลยอยากให้บรรยากาศนี้มันไปต่อเรื่อยๆ เรามีหนังไทยที่มีรายได้เกิน 100 ล้านทุกปี อย่างปีที่แล้วมี 8 เรื่อง ผมก็อยากให้ปีนี้มีมากขึ้น อยากให้ผู้ชมไทยไปต่อ คนทำหนังไทยไปต่อ อุตสาหกรรมมันจะไปต่อด้วยกันได้ ถ้าเกิดเราค่อยๆ หากันเจอแบบนี้ไปเรื่อยๆ”
กี่ปีในวงการตั้งแต่เข้ามาจนถึงวันนี้เริ่มแมสแล้ว? “อันนี้ผมแมสแล้วใช่มั้ย กลางๆ ไปแคสยังมีไม่ผ่านเลย ถ้านับงานชิ้นแรกน่าจะประมาณ 2017 ปีนี้ก็เป็นปีที่ 8 ปีที่ 9 ในการทำงานแล้ว แต่ผมก็รู้สึกกลางๆ นักแสดงบางคนใช้เวลาเกิน 10 ปี หรือ 20 ปี กว่าที่เขาจะเป็นที่รู้จัก แต่ผมก็รู้สึกว่ายังไม่ได้เป็นที่รู้จักขนาดนั้น หรือว่าผมก็ยังไม่ได้พอใจในศักยภาพหรือฝีมืองานขนาดนั้น เอาจริงๆ นะผมยังไม่พอใจ ผมต้องไปต่ออีกเยอะมากๆ อีกมหาศาล คือมันมีนักแสดงหลายคนมากๆ ทั้งอายุมากกว่าผม หรือน้อยกว่าผม เพื่อนๆ หรือน้องๆ ผมที่เขาเก่งกว่าผมมากๆ แต่เขาไม่สามารถไปต่อในอุตสาหกรรมได้ เขาไม่สามารถประกอบอาชีพนักแสดงได้เพราะว่าเขาไม่ได้เป็นที่รู้จัก มันเลยเป็นความคับแค้นใจของผมมาก อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ผมทำงานสมาคมด้วย”
ทุกวันนี้ยังไปแคส? “อย่าเรียกว่าไปแคส ยังโดนปล่อยคิวอยู่เลย ยังไม่ผ่านอยู่เลย เป็นเรื่องปกติ ถามว่านอยด์ไหม ผมก็รับมือกับมันได้ง่ายกว่าตอนเด็กๆ มันก็เป็นเรื่องปกติ ผมเชื่อว่าโปรเจ็กต์มันเลือกคนของมันซึ่งเราแค่ไม่ใช่ แต่เราก็ต้องสู้กับสิ่งนี้ไป อาชีพนี้เราเผชิญกับการถูกปฏิเสธประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์มันเป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน ผมก็ต้องเรียนรู้ในการรับมือกับสิ่งเหล่านี้ให้ดีขึ้น แล้วก็หวังว่ามันจะมีงานหน้าที่เป็นของเรา ใครว่างก็จ้างได้นะครับ”
งานไหนที่ท้าทายอยากลอง? “ก็ภาพยนตร์นี่แหละครับเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในโลกของเรา มันยากเวลาที่เราจะบอกว่าชอบอะไรบางอย่าง เราจะรู้สึกชอบเมื่อเราได้เห็นมันแล้วประทับใจเราแล้ว ก็อาจจะเป็นเรื่องบทบาทท้าทาย หรือการได้ร่วมงานกับคนที่อยากร่วมงานด้วย ผู้กำกับฯ ที่เราเป็นติ่งเขาในวัยเด็ก นักแสดงที่เราอยากร่วมงานด้วย เช่น ผมติ่งพี่จ่อย อนันดา มาตั้งแต่เด็กๆ ก็ได้ร่วมงานด้วยกันจนเข้าใจกัน สนิทกันได้ ก็เป็นเรื่องที่ดี”
ไปแคสงานแล้วไม่ผ่าน มันทำให้รู้สึกไม่อยากไปเส้นทางนี้ต่อ? “ทุกๆ ครั้งครับ กูไม่ทำก็ได้ บ่อยครับ สมมติว่าการแคสติ้งมันคือการทุกข์ทรมานแล้ว กระบวนการแคสฉันจะได้บทมั้ยรอเดือนหนึ่ง แล้วพอได้เราดีใจอยู่ไม่เกิน 2 นาที เราก็ต้องเข้าสู่ทุกขลาภใหม่ เตรียมตัวเพื่อรับบทนี้ หรือการต่อสู้กับความคาดหวังของตัวเองในฐานะของนักแสดง มันเป็นความทุกข์ซะส่วนมากครับ อาจจะเพราะว่าผมให้การทำงานของผมด้วยแพชชั่น มันเลยเต็มไปด้วยความทุกข์”
ช่วงแรกมันรับมือยากขนาดนั้นกับการถูกปฏิเสธ? “ก็นอนร้องไห้ มันเหมือนอกหัก พอเราคาดหวังจากเขา เราให้ใจเขาไปแล้ว เราเทใจเอาใจลงไปเล่นแล้วพอมันไม่ใช่ขึ้นมา มันย่อมยากที่จะทำใจได้ อย่างผมไม่เคยถูกแคสเป็นตัว leading role เลย แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าผมอยากจะเป็น ที่ผ่านมา 90 เปอร์เซ็นต์ของอาชีพมันคือการเล่น supporting role มากกว่าแต่พอเราไปแคส leading role มันก็ไม่ได้ซะส่วนมาก มันก็เลยเป็นปมในใจที่มันไม่เคยถูกแก้ว่าทำไมฉันถึงไม่ได้นะ แต่ว่าเราก็กึ่งๆ จะเข้าใจแหละว่าการเล่น leading role มันคือการแบกโปรเจ็ต์ให้ได้ แบกความคาดหวังทางธุรกิจนี้เอาไว้ด้วย ซึ่งมันใช้ปัจจัยหลายอย่างมากๆ นอกเหนือจากทักษะ มันใช้อีกหลายปัจจัยมากๆ ในการนำโปรเจ็กต์สักโปรเจ็กต์ ผมเลยค่อนข้างเข้าใจว่าทำไมตัวเองไม่เคยได้บทพระเอกเลย”
ตอนนี้ถูกค้นพบเยอะขึ้น? “หวังว่านะครับ”
มีแฟนคลับ มีด้อมของตัวเอง มีคนมาหาเอาของมาให้? “ผมเขินง่ายมากๆ อยู่แล้ว สิ่งที่รู้สึกเสมอเวลามีคนเข้ามาคุยด้วย เขาเข้ามาด้วยใจแล้วผมรู้สึกได้ ภาพที่ออกไปมันเลยเป็นแบบนั้น มันย้วยครับ ผมย้วยกับเขาอีก ขอบคุณมากๆ ที่ชื่นชอบ แล้วก็อยากให้ติดตามหนังไทยทุกเรื่อง ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องที่ผมแสดงก็ได้ ผมรักหนังไทย ผมเลยอยากให้คนที่ดูงานของผม ถ้าผมสามารถเป็นสะพานเชื่อมพวกเขา ไปสู่หนังไทยเรื่องอื่นๆได้ หรือหนังไทยในอดีตหรือในอนาคตได้ ผมจะโคตรยินดีเลย มันเป็นสิ่งที่ทำให้ผมทำงานนี้ต่อมั้ง ความฝันอย่างหนึ่งคือการเห็นหนังไทยยุคต่อไปมันเบ่งบานและเฟื่องฟูเหมือนตอนผมเป็นเด็ก ตอนผมเป็นเด็กเรามีหนังไทยอย่าง Goal Club, อหิงสา จิ๊กโก๋มีกรรม เรามีหนังไทยที่หลากหลายมากๆ ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่ไม่ได้ถูกเล่าเยอะไป ผมอาจจะอยากเห็นบรรยากาศนั้นอีกครั้ง ก็เลยทำอาชีพนี้”
นอกจากผลงานการแสดง แฟนๆ ก็ยังชื่นชมเรื่องมายด์เซ็ต ความคิด เวลาไปสัมภาษณ์ในรายการ ล่าสุดที่ไปออกกับ เฟย ภัทร คนก็ชมเรื่องแสดงความคิดเห็น มุมมองความรัก ไม่จำกัด เปิดกว้าง สมัยใหม่? “พี่ก็คิดเช่นนั้นมั้ยล่ะ ความรักมันคือความรัก มันไม่ได้อะไรกับร่างกายกับอะไรเลย มันคือสองวิญญาณที่มันรักกัน วิญญาณนั้นมันจะไปสถิตในวัตถุแบบไหนหรือว่าร่างกายความคิดแบบไหนมันแล้วแต่เขา สุดท้ายความรักมันคือเรื่องของสองดวงจิต แค่นั้นเลย”
ตั้งแต่เทปนั้นออกไปมีคนเข้ามาจีบมั้ย ตอนนั้นบอกว่ายังไม่พร้อมจะเปิดรับ? “ตอนนี้พร้อมแล้วครับ มันเหงานะ ได้รางวัลมาไม่รู้จะง้วยกับใคร (เปิดแผงมั้ย?) ไม่เปิด”
สเป๊กต้องยังไง? “เหมือนที่เคยบอกคือไม่ได้ตอบเอาหล่อนะ มานั่งสังเกตตัวเองจริงๆ มันไม่ได้เกี่ยวกับหน้าตาภายนอกเลย ผมไม่ได้มีแบบต้องทรงไทป์นี้ ไม่มีเลย มันคือเรื่องของการอยู่ด้วยกันได้แล้วสบายใจซึ่งมันยาก แล้วพอผมยิ่งแก่ตัวลงทุกวัน เราค่อนข้างรู้ว่าเราสบายตัวสบายใจแบบไหน แล้วก็ไม่สบายตัวไม่สบายใจแบบไหน มันค่อนข้างชัดมากขึ้น มันก็เลยยากมากๆ ที่จะเจอใครที่พอดีมั้ง ผมว่าคำนี้มันยากที่สุดในชีวิตคนเลย รวมถึงการแสดงด้วยนะ การแสดงที่ดีมันคือการแสดงที่พอดี สิ่งดีๆ ในชีวิตมันจะเกิดกับเราส่วนมากมันจะพอดี รสชาติที่พอดี ก๋วยเตี๋ยวชามนี้อร่อยเพราะมันไม่ได้เค็มโดดไป ความพอดีมันบาลานซ์ ความพอดีสำหรับผมไม่ทราบได้ มันจะรู้สึกได้เอง ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าก็จะบอกว่า ถ้าอยู่ตรงนั้นแล้วสบายใจ แปลว่ามันถูกต้อง ถ้าเกิดมันร้อนไป มันก็จะรู้สึกไม่ใช่ของเรา ผมก็ไม่รีบ มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องรีบ”
เหนื่อยกับงานแต่ยังไม่มีคนมาแชร์? “ไม่มี ดูคลิปแมวไป(ยิ้ม)”