เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) แถลงข่าวความคืบหน้า 7 วันคดีวัดไร่ขิง โดยมี พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.น. พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. และคณะทำงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
พ.ต.อ.ภัทราวุธ อ่อนม่วง ผกก.5 บก.ป. ได้เผยถึงจุดเริ่มต้นของคดีนี้ว่า มีหนังสือร้องเรียนมาว่า อดีตหลวงพ่อ มีพฤติกรรมที่เอาเงินวัดไปใช้ส่วนตัว และมีการหยิบยืมเงินของฆราวาสและวัดข้างเคียงตั้งแต่หลักหมื่นจนถึง 10 ล้าน แต่ไม่ยอมคืน ประกอบกับมีข้อมูลว่าเจ้าอาวาสน่าจะนำเงินไปใช้ในทางไม่สุจริต หลังจากทราบเรื่อง ก็มีคำสั่งให้สืบสวนในทางลับเพื่อพิสูจน์หนังสือร้องเรียน เพราะว่าอาจจะมีข้อเท็จจริงหรือกลั่นแกล้งกันอย่างไร ก็มิอาจทราบได้ จึงได้ตั้งคณะทำงานชุดแรก มี 6 คน แบ่งเป็น 2 ส่วนคือวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน และส่วนของการลงหน้างาน คือ “ผู้กองต่อ” ซึ่งก็ตั้งโจทย์ให้ไปหาว่าคนนี้ทำหน้าที่อะไรในวัด มีพฤติกรรมอย่างไร สะกดรอยติดตาม รวมถึงสัมพันธ์ระหว่างสีกาเก็นและเจ้าอาวาสด้วย ซึ่งจากการรวบรวมหลักฐานทั้งหมด สามารถเชื่อได้ว่าเจ้าอาวาสยักยอกเงินวัดมาใช้ในกิจกรรมส่วนตัว และเอาไปโอนให้สีกาเก็น ในส่วนของสีกาเอง เมื่อได้รับเงิน ส่วนมากจะนำไปเล่นพนัน
พ.ต.อ.จำนาญ จันทร์เทศ ผกก.5 บก.ปปป.
ตอนนี้พบบัญชีที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 51 บัญชี บัญชีส่วนตัวของเจ้าอาวาส (ทิดแย้ม) มี 21 บัญชี ส่วนของสีกาเก็น 12 บัญชี ซึ่งเรามุ่งไปที่บัญชีของสีกาเก็น เนื่องจากเป็นผู้รับผลประโยชน์ พบว่า ปี 2559 มีเงินหมุนเวียนทั้งหมดกว่า 2 พันล้าน ผ่าน 4 ช่องทางหลักคือ 1.ฝากเงินสดเข้าบัญชี 2.ทิดแย้มโอนให้โดยตรง 3.รับโอนเงินจากอดีตพระเอกพจน์ 4.รับโอนจากนายฉัตรชัย (พันจ่าเอก สามีหมอเตย คนเก็บค่าเช่าที่งานวัดไร่ขิง และมีชื่อครองรถวัดหลายคัน)
นอกจากนี้ในที่แถลงข่าวยังได้เปิดเผยรายได้วัดไร่ขิงในปี 2567 (ต.ค.66-ก.ย.67) จำนวน 176 ล้านบาทด้วยว่ามีอะไรบ้าง