ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพิจารณาอีก 36 ประเทศเข้าสหรัฐอเมริกา กัมพูชา ติดหนึ่งในรายชื่อประเทศที่ถูกแบนด้วย พร้อมขีดเส้นตาย 60 วัน ให้แก้ปัญหาความมั่นคง
วันที่ 15 มิถุนายน ที่ผ่านมา รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพิจารณาขยายมาตรการจำกัดการเดินทางเข้าประเทศอีกครั้ง อาจมีการเพิ่มรายชื่อประเทศในบัญชีดำอีกถึง 36 ประเทศ ซึ่งรวมถึง กัมพูชา ด้วย ความเคลื่อนไหวนี้ถือเป็นการยกระดับนโยบายคุมเข้มคนเข้าเมือง ที่รัฐบาลทรัมป์ประกาศใช้นับตั้งแต่วาระสองของการเป็นประธานาธิบดีในปีนี้
การจำกัดการเข้าประเทศในรัฐบาลทรัมป์นั้น ได้มีคำสั่งจำกัดการเข้าประเทศ 12 ประเทศ ครั้งแรก ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นมาตรการเพื่อปกป้องภัยคุกคามและความมั่นคงของชาติ รวมทั้งการเนรเทศชาวเวเนซุเอลาหลายร้อยคนที่ต้องสงสัยว่าเป็นสมาชิกแก๊งไปยังเอลซัลวาดอร์ และความพยายามที่จะปฏิเสธการลงทะเบียนเรียนของนักศึกษาต่างชาติบางส่วนจากมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ
ภายในบันทึกการทูตที่ลงนามโดย นายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุถึง 36 ประเทศที่น่ากังว อาจถูกเสนอให้ระงับการเดินทางเข้าสหรัฐฯ ทั้งหมดหรือบางส่วน หากไม่สามารถปฏิบัติตามเกณฑ์ และข้อกำหนดที่ตั้งไว้ได้ภายใน 60 วัน
เปิดลิสต์ 36 ประเทศเสี่ยงถูกแบนสำหรับเหตุผลที่บางประเทศอยู่ในรายชื่อนี้ เช่น มีปัญหาในการจัดทำเอกสารประชาชนอย่างโปร่งใส รัฐบาลไม่สามารถออกหนังสือเดินทางที่น่าเชื่อถือได้ ความร่วมมือในการเนรเทศคนสัญชาติของตนที่สหรัฐฯ สั่งให้ออกนอกประเทศไม่เพียงพอ รวมถึงมีคนในชาติของบางประเทศมีความเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย หรือแสดงออกอย่างต่อต้านชาวยิวและสหรัฐฯ
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า “เราต้องทบทวนนโยบายอยู่ตลอด เพื่อความปลอดภัยของชาวอเมริกัน และเพื่อให้แน่ใจว่าชาวต่างชาติเคารพกฎหมายของเรา”
มาตรการห้ามพลเมือง 36 ประเทศในครั้งนี้ เป็นการขยายคำสั่งต่อจากคำสั่งห้ามพลเมืองจาก 12 ประเทศเข้าสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน ที่ผ่านมาแล้ว ได้แก่ อัฟกานิสถาน, เมียนมา, ชาด, คองโก, อิเควทอเรียลกินี, เอริเทรีย, เฮติ, อิหร่าน, ลิเบีย, โซมาเลีย, ซูดาน และเยเมน รวมถึงมีการจำกัดการเดินทางบางส่วนจากอีก 7 ประเทศ
ย้อนกลับไปในวาระแรกของการดำรงตำแหน่ง ทรัมป์เคยประกาศใช้คำสั่งแบนนักเดินทางจาก 7 ชาติมุสลิมเป็นหลัก ซึ่งผ่านการต่อสู้ทางกฎหมายหลายครั้ง ก่อนที่ศาลฎีกาสหรัฐฯ มีคำตัดสินรับรองในปี 2018 ที่ผ่านมา