สรุปครบทุกเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับนโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ทั้งคุณสมบัติผู้มีสิทธิ์ วิธีลงทะเบียนผ่านแอปทางรัฐ และบัตรที่ใช้ได้ใน 8 สาย
สิ้นสุดการรอคอยสำหรับนโยบาย รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เมื่อรัฐบาลได้ประกาศเตรียมขยายผลให้ครอบคลุมรถไฟฟ้าทุกสายในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวม 8 เส้นทาง โดยจะเริ่มเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ในเดือนสิงหาคมนี้ ก่อนจะเริ่มใช้งานจริงพร้อมกันใน วันที่ 30 กันยายน 2568
นโยบายดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน และส่งเสริมให้คนหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น โดยผู้ที่ลงทะเบียนจะสามารถเดินทางด้วยรถไฟฟ้าได้ในอัตราสูงสุดไม่เกิน 20 บาทต่อเที่ยว ไม่ว่าจะเดินทางไกลแค่ไหนหรือเปลี่ยนสายกี่ครั้งก็ตาม
หลังจากที่รัฐบาลได้ประกาศขยายนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายให้ครอบคลุมทุกเส้นทาง ล่าสุดได้มีการเปิดเผยรายละเอียดและเงื่อนไขสำหรับประชาชนที่ต้องการใช้สิทธิ์ออกมาแล้ว ซึ่งจำเป็นต้องมีการลงทะเบียนล่วงหน้าเพื่อยืนยันตัวตน
ขั้นตอน-คุณสมบัติ และช่วงเวลาลงทะเบียน
1. สงวนสิทธิ์สำหรับ ผู้ถือบัตรประชาชนไทย 13 หลักเท่านั้น
2. ผู้ที่ต้องการรับสิทธิ์ จะต้องลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน ทางรัฐ เท่านั้น เพื่อยืนยันตัวตนและผูกสิทธิ์กับบัตรโดยสาร
3. เปิดให้ลงทะเบียนได้ตั้งแต่ เดือนสิงหาคม 2568 เป็นต้นไป และจะสามารถเริ่มใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2568
เช็กก่อนเดินทาง บัตรโดยสารที่รองรับในแต่ละสาย
ในระยะแรก ผู้โดยสารจำเป็นต้องใช้บัตรโดยสารให้ถูกต้องตามระบบของแต่ละสายเพื่อรับสิทธิ์ค่าโดยสาร 20 บาท ดังนี้
1. รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (MRT Blue Line) และ แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ (ARL)
สามารถใช้ บัตร MRT Plus หรือ บัตร EMV Contactless (Visa/Mastercard) ได้
2. รถไฟฟ้าสายสีเขียว, สีทอง, สีเหลือง และสีชมพู
ต้องใช้ บัตร Rabbit ในการชำระค่าโดยสาร
ทั้งนี้ หากผู้โดยสารไม่ได้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่นทางรัฐ หรือใช้บัตรโดยสารที่ไม่รองรับในสายนั้นๆ จะต้องชำระค่าโดยสารในอัตราปกติ
รายชื่อ 8 สายทาง ครอบคลุมที่ไหนบ้างสำหรับรถไฟฟ้าทั้ง 8 สายที่จะเข้าร่วมโครงการ ทำให้เดินทางได้ในราคาเดียวสูงสุดไม่เกิน 20 บาท มีดังนี้
1. รถไฟฟ้าสายสีเขียว (BTS)
2. รถไฟฟ้าสายสีชมพู (MRT)
3. รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (MRT)
4. รถไฟฟ้าสายสีทอง (BTS)
5. รถไฟฟ้าสายสีเหลือง (MRT)
6. รถไฟฟ้าสายสีม่วง (MRT)
7. รถไฟฟ้าสายสีแดง (SRT)
8. รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ (ARL)
สายสีม่วงและสายสีแดงได้เริ่มใช้ราคานี้ไปก่อนแล้ว ส่วนสายที่เหลือทั้งหมดจะเริ่มพร้อมกันในวันที่ 30 กันยายนนี้เป็นต้นไป ทำให้โครงข่ายรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเชื่อมถึงกันในราคาที่ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายอย่างแท้จริง
รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่สร้างความยินดีให้กับคนกรุงเทพฯ และปริมณฑลนั้น ไม่ใช่แค่การปรับลดราคาค่าโดยสาร แต่เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่รัฐบาลได้วางแผนทั้งในด้านงบประมาณและเทคโนโลยีในอนาคตไว้อย่างน่าสนใจ
เพื่อให้โครงการนี้เกิดขึ้นได้จริง รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณสนับสนุนปีละประมาณ 8,000 ล้านบาท เพื่อชดเชยส่วนต่างค่าโดยสารให้กับผู้ให้บริการ โดยแหล่งที่มาของเงินก้อนนี้จะมาจาก รายได้สะสมของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 16,000 ล้านบาท
เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สะดวกจากการที่ต้องใช้บัตรโดยสารหลายใบในระยะแรก รัฐบาลได้วางแผนที่จะพัฒนาระบบการชำระเงินให้ทันสมัยยิ่งขึ้น โดยตั้งเป้าว่าภายในปี 2569 จะมีการพัฒนาระบบ สแกน QR Code ผ่านโทรศัพท์มือถือ เพื่อใช้ในการชำระค่าโดยสาร ซึ่งจะทำให้ผู้โดยสารไม่จำเป็นต้องพกบัตรหลายใบอีกต่อไป และสามารถเดินทางข้ามระบบได้อย่างสะดวกสบายอย่างแท้จริง
ท้ายที่สุดแล้ว เป้าหมายของโครงการนี้ไม่ได้มีเพียงแค่การลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนเท่านั้น แต่ยังมุ่งหวังที่จะจูงใจให้ผู้คนหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะกันมากขึ้น เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรที่ติดขัด และยังเป็นส่วนสำคัญในการช่วยลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ในอากาศ ซึ่งจะส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมของคนกรุงเทพฯ ในระยะยาว