หลายคนที่ใช้บัตรเครดิตในชีวิตประจำวัน คงเคยพบเจอสถานการณ์นี้แล้ว พอเปิดบิลบัตรเครดิตขึ้นมาดู ก็เจอรายการค่าใช้จ่ายแปลก ๆ ที่ชื่อว่า “Credit Usage Fee” โผล่ขึ้นมาโดยไม่ทราบว่าคืออะไร ทำไมถึงถูกเรียกเก็บ หรือมาจากไหน การขาดความเข้าใจในเรื่องนี้อาจส่งผลให้เสียเงินโดยไม่จำเป็น วันนี้ เราจะมาอธิบายเรื่อง Credit Usage Fee แบบละเอียด และเข้าใจง่าย เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้บัตรเครดิตได้อย่างชาญฉลาด และไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมอีกต่อไป

Credit Usage Fee คืออะไร 

Credit Usage Fee คือ ค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินที่สถาบันการเงินเรียกเก็บจากผู้ถือบัตรเครดิต เมื่อมีการใช้บริการที่อยู่นอกเหนือจากการชำระสินค้า และบริการปกติ หรือเมื่อไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการใช้บัตรตามที่กำหนด โดยค่าธรรมเนียมนี้จะถูกเรียกเก็บเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดการใช้จ่าย และมักจะมาพร้อมกับดอกเบี้ยที่คิดตั้งแต่วันที่ทำธุรกรรม

ค่า Credit Usage Fee ของแต่ละบัตรเครดิตเท่ากันไหม

ค่า Credit Usage Fee ของแต่ละบัตรเครดิตโดยส่วนใหญ่จะอยู่ในอัตราที่ใกล้เคียงกัน แต่อาจมีความแตกต่างในรายละเอียดของการเรียกเก็บขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละธนาคารโดยทั่วไปแล้ว ค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินจะอยู่ที่ประมาณ 1% ต่อปี และค่าธรรมเนียมการเบิกถอนเงินสดจะอยู่ที่ 3% ของยอดที่เบิกถอน

อย่างไรก็ตาม บางธนาคารอาจมีการให้สิทธิพิเศษสำหรับบัตรเครดิตระดับพรีเมียม เช่น การยกเว้นค่าธรรมเนียมบางประเภท หรือลดอัตราค่าธรรมเนียมลง ดังนั้นผู้ถือบัตรควรศึกษาเงื่อนไขของบัตรเครดิตของตนเองให้ดีก่อนใช้งาน

เราจะได้รับค่า Credit Usage Fee ตอนไหน 

การถูกเรียกเก็บค่า Credit Usage Fee จะเกิดขึ้นเมื่อผู้ถือบัตรมีการใช้บริการในลักษณะที่ทำให้ต้องเสียค่าธรรมเนียมพิเศษ โดยสถานการณ์ที่พบได้บ่อย ๆ มีดังนี้

  • การกดเงินสดจากบัตรเครดิต : จะถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการเบิกถอนเงินสด 3% ของยอดเงินที่เบิก บวก VAT 7% และดอกเบี้ยที่คิดทันทีตั้งแต่วันที่เบิกถอน
  • การผ่อนจ่ายขั้นต่ำ : เมื่อไม่สามารถชำระเงินเต็มจำนวนตามกำหนด จะถูกคิดค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน 1% ต่อปี และดอกเบี้ยที่คำนวณย้อนหลังตั้งแต่วันที่ใช้บัตร
  • การผ่อนชำระสินค้าที่มีดอกเบี้ย : จะถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน และดอกเบี้ยในลักษณะเดียวกับการจ่ายขั้นต่ำ

วิธีใช้บัตรเครดิตให้ไม่เสียค่า Credit Usage Fee 

การหลีกเลี่ยงค่า Credit Usage Fee ไม่ใช่เรื่องยาก หากเข้าใจหลักการใช้บัตรเครดิตอย่างถูกต้อง เพียงแค่ปฏิบัติตามกฎง่าย ๆ เหล่านี้ ก็สามารถใช้บัตรเครดิตได้อย่างคุ้มค่าโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมใด ๆ เพิ่มเติม

  • หลีกเลี่ยงการกดเงินสดจากบัตรเครดิต : เพราะนอกจากจะเสียค่าธรรมเนียมการกดเงินแล้ว ยังต้องเสียดอกเบี้ยทันทีอีกด้วย หากต้องการเงินสดเร่งด่วน ควรพิจารณาใช้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าแทน
  • ชำระเงินให้ตรงเวลา และเต็มจำนวนเสมอ : การปฏิบัติตามหลักการนี้จะช่วยให้ได้รับสิทธิ์ปลอดดอกเบี้ยเต็มที่ และไม่ถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใด ๆ เพิ่มเติม
  • ใช้จ่ายไม่เกินความสามารถ : วางแผนการใช้จ่ายให้ยอดการใช้บัตรไม่เกินจำนวนเงินสดที่มีอยู่จริง เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถชำระเต็มจำนวนได้ทุกครั้ง
  • ตั้งเตือนการชำระเงิน : ใช้ระบบการแจ้งเตือนผ่าน SMS หรือแอปพลิเคชันธนาคาร เพื่อไม่ให้พลาดกำหนดชำระ
  • ศึกษาเงื่อนไขของบัตรให้ละเอียด : ทำความเข้าใจกับระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย วันสรุปยอด และวันครบกำหนดชำระของบัตรตนเอง

นอกจากค่า Credit Usage Fee ยังมีค่าธรรมเนียมอะไรอีกบ้าง 

การใช้บัตรเครดิตมีค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ที่ผู้ถือบัตรควรทราบ เพื่อวางแผนการใช้งานให้เหมาะสม ได้แก่ ค่าธรรมเนียมรายปีที่อาจเริ่มต้นตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไปตามระดับของบัตร บางธนาคารอาจยกเว้นในปีแรก หรือมีเงื่อนไขการใช้จ่ายขั้นต่ำเพื่อยกเว้นค่าธรรมเนียม

นอกจากนี้ยังมีค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมในต่างประเทศสูงสุด 2.5% ของยอดการใช้จ่าย ค่าธรรมเนียมการชำระเงินล่าช้า และค่าธรรมเนียมการทำบัตรใหม่กรณีบัตรชำรุดหรือสูญหาย การรู้ และเข้าใจค่าธรรมเนียมเหล่านี้ จะช่วยให้สามารถคำนวณต้นทุนการใช้บัตรเครดิตได้อย่างแม่นยำมากขึ้น

สรุปบทความ 

Credit Usage Fee เป็นค่าธรรมเนียมที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตกดเงินสดจากบัตร หรือจ่ายขั้นต่ำ ถ้าไม่ได้มีการใช้งานเหล่านี้ ก็ไม่เป็นต้องเสียค่าธรรมเนียมนี้เช่นกัน บัตรเครดิตนั้น เป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีประโยชน์มาก หากใช้อย่างเหมาะสม จะช่วยให้มีความสะดวกในการชำระเงิน ได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ และยังช่วยสร้างประวัติเครดิตที่ดีอีกด้วย ดังนั้นการศึกษา และทำความเข้าใจกับเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการใช้บัตรเครดิต