เมื่อคุณเปิดแอร์แล้วรู้สึกว่ามีแต่ลมออกมาและไม่มีความเย็นเลย แน่นอนว่าเป็นปัญหาที่ทำให้ความรู้สึกของคุณนั้นมันร้อนไปกว่าอากาศด้านนอกบ้าน และยิ่งแอร์ไม่เย็นเปิดเท่าไหร่ก็ไม่ฉ่ำใจ แต่รายจ่ายสุดบานปลายเพราะนอกจากจะไม่ได้รับความเย็นแล้ว ยังต้องจ่ายค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นอีกด้วย ปัญหานี้สามารถเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งที่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง หรือบางกรณีอาจต้องการความช่วยเหลือจากช่างผู้เชี่ยวชาญเข้ามาดูแล
อาการแอร์ไม่เย็น คืออะไร?
อาการแอร์ไม่เย็นสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้
- ลมแอร์ไม่เย็นเลย นั่นเพราะแอร์ทำงานแต่ไม่สามารถผลิตความเย็นได้ ซึ่งอาจเกิดจากปัญหาของระบบทำความเย็น
- ลมแอร์เย็นน้อยลงนั่นเป็นเพราะว่าความเย็นที่ได้ลดลง อาจเกิดจากปัญหาฝุ่นอุดตันในฟิลเตอร์ หรือน้ำยาแอร์ที่ไม่เพียงพอ
- ลมแอร์เย็นไม่สม่ำเสมอ เกิดจากแอร์มีการรั่วซึมของน้ำยาแอร์ หรือระบบควบคุมอุณหภูมิทำงานผิดปกติ
แอร์ไม่เย็น อาจมาจากการเลือกซื้อแอร์ให้เหมาะสมกับห้อง

การมีแอร์ในบ้านหรือที่ทำงานเป็นสิ่งที่หลายคนไม่สามารถขาดได้ โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนที่ต้องการการเย็นสบายภายในอาคาร แต่บางครั้งเราก็อาจพบกับปัญหาที่แอร์ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ หรือไม่เย็นตามที่หวังการที่แอร์ทำงานแต่ไม่เย็นหรือเย็นน้อยกว่าที่หวัง อาจเกิดจากหลายสาเหตุ ดังนี้
- ฝุ่นและสิ่งสกปรกในแอร์ หากไม่ได้ทำความสะอาดแอร์เป็นระยะเวลาเกินไป ฝุ่นและสิ่งสกปรกจะสะสมในฟิลเตอร์และคอยล์เย็น ซึ่งจะทำให้แอร์ทำงานหนักขึ้นและประสิทธิภาพในการทำความเย็นลดลง โดยอาจทำให้ลมที่ออกมาจากแอร์ไม่มีความเย็นตามที่หวัง
- น้ำยาแอร์หมดหรือไม่เพียงพอน้ำยาแอร์สารทำความเย็นเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยในการดูดซับความร้อนจากภายในห้อง หากน้ำยาแอร์รั่วหรือหมด จะทำให้แอร์ไม่สามารถทำความเย็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- คอมเพรสเซอร์แอร์เสียหายคอมเพรสเซอร์คือส่วนสำคัญที่ทำให้ระบบทำความเย็นของแอร์ทำงาน หากคอมเพรสเซอร์เสียหาย หรือไม่ได้รับการบำรุงรักษาที่ดี อาจทำให้แอร์ไม่เย็นหรือเย็นไม่เต็มที่
- อุณหภูมิของห้องสูงเกินไปหากห้องมีการสะสมความร้อนสูงหรือมีอุณหภูมิภายนอกที่ร้อนเกินไป แอร์อาจทำงานหนักและไม่สามารถทำความเย็นได้เต็มประสิทธิภาพ
- การตั้งค่าผิดพลาดการตั้งค่าระบบควบคุมอุณหภูมิหรือโหมดของแอร์ผิด เช่น ตั้งโหมดเป็นพัดลมหรืออุณหภูมิสูงเกินไป ก็สามารถทำให้แอร์ไม่เย็นตามที่ต้องการได้
การเลือกซื้อแอร์ตามขนาดห้อง
การเลือกซื้อแอร์ให้เหมาะสมกับขนาดห้องเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะหากเลือกแอร์ที่มีความสามารถทำความเย็นไม่เพียงพอ จะทำให้แอร์ทำงานหนักเกินไป และเสียค่าไฟฟ้ามากเกินจำเป็นและนอกจากนั้นแล้วหากเลือกแอร์ที่มีขนาดใหญ่เกินไป ก็อาจทำให้แอร์ไม่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง การคำนวณขนาดแอร์ที่เหมาะสมกับห้องสามารถทำได้โดยใช้หน่วย BTU ซึ่งเป็นหน่วยวัดความสามารถในการทำความเย็นของแอร์ โดยมีสูตรการคำนวณดังนี้
- ขนาดแอร์ (BTU) = ขนาดห้อง (ตารางเมตร) x 600-800 BTU
- ตัวอย่าง: หากห้องมีขนาด 20 ตารางเมตร ขนาดแอร์ที่เหมาะสมจะอยู่ที่ประมาณ 12,000 – 16,000 BTU
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆที่ส่งผลแอร์ไม่เย็น ควรพิจารณา เช่น ความสูงของห้อง ความร้อนจากอุปกรณ์ต่าง ๆ หรือจำนวนคนในห้อง ซึ่งสามารถทำให้แอร์ต้องทำงานหนักขึ้น หากคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับการเลือกขนาดแอร์ที่เหมาะสม ควรปรึกษาผู้ขายหรือช่างผู้เชี่ยวชาญที่มีความชำนาณเข้ามาช่วยดูแลเรื่องนี้ดีที่สุด
อากาศด้านนอกส่งผลต่อความเย็นของแอร์หรือไม่?
อากาศภายนอกห้องมีผลอย่างมากต่อประสิทธิภาพของแอร์ โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศร้อนจัด เช่น ในฤดูร้อนหรือช่วงที่มีอุณหภูมิสูงเกิน 35 องศาเซลเซียส แอร์จะต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อรักษาอุณหภูมิในห้องให้อยู่ในระดับที่ต้องการ เมื่ออากาศภายนอกมีอุณหภูมิสูง จะทำให้แอร์ต้องดึงความร้อนจากห้องออกมาในปริมาณมากขึ้น ส่งผลให้แอร์ต้องใช้พลังงานมากขึ้นและอาจไม่สามารถทำความเย็นได้อย่างมีประสิทธิภาพตามคุณสมบัติของแอร์ การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของแอร์ในกรณีนี้สามารถทำได้โดยการลดการแผ่ความร้อนจากภายนอก เช่น การติดตั้งผ้าม่านหรือมู่ลี่ที่สามารถลดการรับแสงแดดโดยตรง หรือใช้ฉนวนกันความร้อนในผนังห้องเพื่อช่วยป้องกันความร้อนจากภายนอก
การใช้แอร์อย่างถูกวิธี
- ตั้งอุณหภูมิที่เหมาะสมการตั้งอุณหภูมิของแอร์ที่เหมาะสมจะช่วยให้แอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาแอร์ไม่เย็น คือการตั้งอุณหภูมิแอร์ที่ประมาณ 24-26 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่ทั้งเย็นสบายและประหยัดพลังงาน การตั้งอุณหภูมิแอร์ต่ำเกินไป เช่น 18-20 องศาเซลเซียส จะทำให้แอร์ทำงานหนักเกินไปและใช้พลังงานมากขึ้น
- ควรพักการใช้งานแอร์การเปิดแอร์เป็นระยะเวลาอย่างต่อเนื่องนั้นสามารถทำได้ แต่ควรให้แอร์ได้พักบ้างเพื่อไม่ให้เครื่องทำงานหนักเกินไป วิธีการที่เหมาะสมคือการตั้งเวลาในการเปิดแอร์และเปิดแอร์เฉพาะในช่วงที่มีการใช้งานห้องหรือช่วงที่อุณหภูมิร้อนจัดมากที่สุด โดยสามารถเปิดแอร์ในช่วงที่มีคนอยู่ในห้องและปิดเมื่อไม่มีการใช้งานห้อง หรือใช้ฟังก์ชัน “ตั้งเวลาปิด” ซึ่งสามารถตั้งเวลาให้แอร์ทำงานตามความต้องการ
- ลดการใช้พลังงานของแอร์ใช้พัดลมร่วมกับแอร์ การใช้พัดลมช่วยกระจายความเย็นจากแอร์ให้ทั่วห้อง จะทำให้แอร์ทำงานน้อยลงติดตั้งฉนวนกันความร้อนการติดตั้งฉนวนกันความร้อนที่ผนังหรือหลังคา จะช่วยลดความร้อนจากภายนอกที่เข้าสู่ห้อง ทำให้แอร์ไม่ต้องทำงานหนัก
วิธีการแก้ไขปัญหาแอร์ไม่เย็นเบื้องต้นด้วยตนเอง

หากคุณพบปัญหาว่าแอร์ไม่เย็นลองทำตามขั้นตอนเหล่านี้ก่อนที่จะเรียกช่าง
- ตรวจสอบการตั้งค่ารีโมทแอร์ตรวจสอบให้แน่ใจว่ารีโมทแอร์ตั้งโหมดเป็น “Cool” และตั้งอุณหภูมิที่เหมาะสม
- ทำความสะอาดฟิลเตอร์แอร์ถอดฟิลเตอร์ออกมาล้างด้วยน้ำสบู่อ่อน ๆ และผึ่งให้แห้งก่อนใส่กลับเข้าไป
- ตรวจสอบคอมเพรสเซอร์แอร์ฟังเสียงการทำงานของคอมเพรสเซอร์ หากไม่ทำงาน หรือมีเสียงผิดปกติ ควรติดต่อช่าง
- เช็กรอยรั่วของน้ำยาแอร์ตรวจสอบท่อและข้อต่อของแอร์ว่ามีรอยรั่วซึมหรือไม่ หากพบรอยรั่ว ควรเรียกช่างมาซ่อม
- ล้างแอร์ตามรอบที่กำหนดแอร์ควรได้รับการล้างทุก ๆ 6 เดือน หรือหากใช้มาก ควรล้างให้บ่อยขึ้น
การดูแลแอร์ในอนาคต
การดูแลแอร์อย่างถูกต้องจะช่วยยืดอายุการใช้งานและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำความเย็น ควรตรวจสอบและล้างแอร์เป็นประจำทุก 6 เดือน หรือก่อนหน้าฤดูร้อนทุกครั้ง เพื่อให้แอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ หากคุณกำลังคิดที่จะซื้อแอร์ใหม่ ควรเลือกแอร์ที่มี BTU ที่เหมาะสมกับขนาดห้องและเลือกแอร์ที่มีคุณสมบัติประหยัดพลังงาน เพื่อช่วยลดค่าไฟฟ้าในระยะยาว
สรุป
ปัญหาของแอร์ไม่เย็นเกิดจากหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นฟิลเตอร์สกปรก น้ำยาแอร์รั่ว คอมเพรสเซอร์ไม่ทำงาน หรือการตั้งค่ารีโมทผิด การดูแลแอร์อย่างถูกวิธีสามารถช่วยให้แอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งาน แต่ถ้าหากเช็คแล้วทุกอย่างยังไม่ดีขึ้น ควรเรียกช่างผู้เชี่ยวชาญมาช่วยแก้ไขเพื่อป้องกันปัญหาเพื่อให้แอร์กลับมาเย็นตามปกติ